ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_56451
Retail
**ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด กลยุทธ์ “Retailtainment” ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีประสิทธิภาพเพียงใด? และ มีกลยุทธ์เพิ่มเติมอะไรบ้าง ที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ควรนำมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในอนาคต?
null
กลยุทธ์ “Retailtainment” ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีประสิทธิภาพ -ดึงดูดลูกค้า: กลยุทธ์นี้ผสมผสานการช้อปปิ้งกับความบันเทิงผ่านเกม เพลง และตัวละคร Monsta สร้างประสบการณ์ใหม่และน่าจดจำ ดึงดูดลูกค้าให้เข้าห้าง -กระตุ้นยอดขาย: โปรโมชั่นส่วนลด รางวัล และกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นให้ลูกค้าอยากช้อป -สร้าง Brand Journey: กลยุทธ์นี้ช่วยให้เดอะมอลล์ กรุ๊ป เชื่อมต่อกับลูกค้า สร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม ยังมีกลยุทธ์เพิ่มเติม ที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ควรนำมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในอนาคต 1. มุ่งเน้น personalization: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า นำเสนอสินค้า โปรโมชั่น และประสบการณ์ที่ตรงใจ พัฒนาระบบ AI แนะนำสินค้า นำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะบุคคล 2. พัฒนา Omnichannel Experience: ผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์ พัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย นำเสนอตัวเลือกการช้อปปิ้งที่หลากหลาย เช่น Click & Collect, Personal Shopper 3. ขยายไปยังธุรกิจใหม่: พัฒนาธุรกิจบริการ เช่น Food Delivery, Subscription Boxes ลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ เช่น Health & Wellness, Edutainment 4. มุ่งเน้นความยั่งยืน: สนับสนุนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมโครงการลดมลพิษ สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น 5. นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้: ใช้ AR/VR เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ล้ำสมัย พัฒนาระบบ cashless payment นำเสนอบริการ Chatbot การนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้ จะช่วยให้เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถแข่งขันในยุคดิจิทัล ดึงดูดลูกค้า และเพิ่มยอดขายในระยะยาว สรุป:กลยุทธ์ “Retailtainment” ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังมีกลยุทธ์เพิ่มเติมที่ควรนำมาใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และความต้องการของตลาด
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56454
Retail
การเข้ามาของกลุ่มไทยเบฟในธุรกิจ Starbucks ประเทศไทย ผ่านบริษัท Coffee Concepts Thailand จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกไทยหรือไม่?
null
มี โอกาสส่งผลดี ด้านบวก 1. ประสบการณ์ -ไทยเบฟมีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก -เข้าใจตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคไทย -มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง 2. เงินทุน -ไทยเบฟมีทุนหนา -สามารถลงทุนขยายสาขา Starbucks -พัฒนาธุรกิจและบริการใหม่ ๆ 3. กลยุทธ์ -ไทยเบฟมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง -เน้นการเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม -พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ ด้านลบ 1. การแข่งขัน -ตลาดกาแฟในไทยมีการแข่งขันสูง -Starbucks เผชิญกับคู่แข่งหลายราย -อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้า 2. ราคา -ราคา Starbucks ค่อนข้างสูง -อาจไม่เหมาะกับผู้บริโภคบางกลุ่ม -จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าราคาประหยัด โดยรวมแล้ว -การเข้ามาของไทยเบฟ มีโอกาสส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกไทย -ไทยเบฟมีศักยภาพที่จะพัฒนาธุรกิจ Starbucks ในไทย -แต่ Starbucks ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย ตัวอย่าง -Starbucks อาจขยายสาขาไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ -พัฒนาสินค้าและบริการที่เหมาะกับตลาดไทย -นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลด สรุป -ดีล Starbucks ในไทย เป็นการจับมือกันระหว่างไทยเบฟ และ Maxim Group -ไทยเบฟมีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก เงินทุน และกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง -Starbucks เผชิญกับการแข่งขันสูง และราคาสินค้าที่ค่อนข้างสูง -ดีลนี้ มีโอกาสส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกไทย -Starbucks ต้องปรับกลยุทธ์ พัฒนาสินค้า และบริการ เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดไทย
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56457
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ IKEA ในการปรับตัวรับมือกับวิกฤต Retail Apocalypse?
null
กลยุทธ์หลักของ IKEA ในการปรับตัวรับมือกับวิกฤต Retail Apocalypse มีดังนี้: 1. ปรับรูปแบบสาขา: เปิดสาขาขนาดเล็กใจกลางเมือง: IKEA เริ่มเปิดสาขาขนาดเล็กใจกลางเมือง เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งสะดวกต่อการเดินทางมากกว่าสาขานอกเมืองแบบดั้งเดิม ตัวอย่างคือ สาขา La Madeleine ในกรุงปารีส เน้นการจัดแสดงสินค้า: สาขาขนาดเล็กเน้นการจัดแสดงสินค้าตัวอย่าง เพื่อให้ลูกค้าสามารถดูสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ลูกค้าไม่สามารถซื้อสินค้าและนำกลับบ้านได้ สั่งซื้อสินค้าออนไลน์: ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าต้องสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ สินค้าจะจัดส่งไปที่บ้าน หรือจุดรับสินค้า 2. รุกช่องทางออนไลน์: พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน: IKEA พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย สะดวกต่อการค้นหาสินค้า และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เสนอบริการเพิ่มเติม: IKEA เสนอบริการเพิ่มเติมบนช่องทางออนไลน์ เช่น บริการออกแบบห้องนอน บริการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ 3. มุ่งเน้นไปที่บริการ: ให้บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์: IKEA เริ่มให้บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความยืดหยุ่น และต้องการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์บ่อยๆ ให้บริการติดตั้งและซ่อมแซม: IKEA เข้าซื้อกิจการ TaskRabbit ผู้ให้บริการติดตั้ง และซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน เพื่อช่วยลูกค้าในการติดตั้ง และซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ 4. ขยายฐานลูกค้า: เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่: IKEA พยายามเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานง่าย สะดวก และราคาไม่แพง ขยายตลาดในต่างประเทศ: IKEA วางแผนขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ IKEA ประสบความสำเร็จในการปรับตัวรับมือกับวิกฤต Retail Apocalypse ยอดขายของ IKEA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ IKEA ยังคงเป็นผู้นำในตลาดเฟอร์นิเจอร์ระดับโลก บทวิเคราะห์: กลยุทธ์ของ IKEA แสดงให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME ควรเรียนรู้จาก IKEA และนำกลยุทธ์เหล่านี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง ประเด็นสำคัญ: การปรับรูปแบบสาขา: เข้าถึงลูกค้า, สะดวก, ประหยัด การรุกช่องทางออนไลน์: สะดวก, รวดเร็ว, ข้อมูลครบถ้วน การมุ่งเน้นไปที่บริการ: ตอบโจทย์ความต้องการ, เพิ่มความสะดวก การขยายฐานลูกค้า: เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ, เพิ่มรายได้ สรุป: กลยุทธ์ของ IKEA ในการปรับตัวรับมือกับวิกฤต Retail Apocalypse เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับองค์กรทุกขนาดที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคสมัยใหม่ ธุรกิจควรปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยี ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56458
Retail
อะไรคือปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนให้ตลาดค้าปลีกในประเทศจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นตลาดค้าปลีกชั้นนำของโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า?
มีการคาดการณ์ว่าตลาดค้าปลีกในประเทศจีนจะมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะมีมูลค่าแซงพี่ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาในอนาคตอย่างแน่นอน ภายในสิ้นปีนี้ แม้เศรษฐกิจในประเทศจีนอาจจะมีการชะลอตัวไปบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกนั้น ประเทศจีนเตรียมแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นแท่นเป็นตลาดค้าปลีกชั้นนำของโลกภายในไม่กี่ปีนี้แน่นอน มีการคาดการณ์โดย eMarketer บอกว่าในปี 2019 ตลาดค้าปลีกในประเทศจีนจะมีการเติบโต 7.5% มีมูลค่า 5.63 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกามีการเติบโต 3.3% มีมูลค่า 5.52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่าตลาดค้าปลีกในประเทศจีนจะมีมูลค่าสูงกว่าอเมริกา 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปีนี้ จริงๆ แล้วตลาดค้าปลีกของทั้ง 2 ประทเศก็มีการชะลอตัวกันทั้งสิ้น เพียงแต่สหรัฐอเมริกาเจอวิกฤตมากกว่า มีการเติบโตน้อยกว่า มีการคาดการณ์ไปจนถึงปี 2022 อีกว่า ตลาดค้าปลีกในจีนจะมีมูลค่าสูงถึง 6.75 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดค้าปลีกในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 6.03 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยสำคัญที่ทำใตลาดค้าปลีกในจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องก็คือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคชาวจีนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกลุม่คนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้นนับล้านคน ทำให้มีกำลังซื้อต่อคนมากขึ้นเช่นกัน อีกปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และธุรกิจค้าปลีกในจีนก็คืออีคอมเมิร์ซ ประเทศจีนขึ้นชื่อว่ามีตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่าในปี 2019 จะมีการเติบโตของตลาดอยู่ที่ 30.3% มีมูลค่า 1.98 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วน 35.3% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดของประเทศ เป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก ส่วนสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนของอีคอมเมิร์ซ 10.9% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดเท่านั้น และภายในสิ้นปี 2019 ประเทศจีนจะครองส่วนแบ่งตลาดของตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกที่ 55.8% คาดว่าจะเพิ่มเป็น 63% ภายในปี 2022 ส่วนสหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งตลาด 17% ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลก ตามด้วยสหราชอาณาจักร 3.8% ญี่ปุ่น 3.2% และเกาหลีใต้ 2.4% Source ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ค้าปลีกยังวิกฤติ แต่แฟชั่นออนไลน์ Revolve Group เตรียม IPO ดันมูลค่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ In "News" 10 อันดับยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซสร้างยอดขายในภูมิภาคเอเชีย แค่ JD.com กับ Alibaba ก็กินรวบทั้งตลาดแล้ว In "News" คาดการณ์วงการค้าปลีกมีการลงทุนด้าน AI ถึง 12,000 ล้านเหรียญ ภายในปี 2023 In "News"
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนให้ตลาดค้าปลีกในประเทศจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นตลาดค้าปลีกชั้นนำของโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า มีดังนี้ การเติบโตของชนชั้นกลาง: ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวจีนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกลุ่มคนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้นนับล้านคน กลุ่มคนชั้นกลางเหล่านี้มีกำลังซื้อต่อคนมากขึ้น ส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการที่หลากหลาย ปัจจัยนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ตลาดค้าปลีกในประเทศจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ: ประเทศจีนขึ้นชื่อว่ามีตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่าในปี 2019 ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนจะมีการเติบโต 30.3% มีมูลค่า 1.98 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วน 35.3% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดของประเทศ สัดส่วนนี้สูงที่สุดในโลก อีคอมเมิร์ซช่วยให้ผู้บริโภคชาวจีนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการจากทั่วโลกได้อย่างสะดวก ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดค้าปลีกในประเทศจีน นโยบายของรัฐบาล: รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนการเติบโตของตลาดค้าปลีก โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบโลจิสติกส์ และส่งเสริมการใช้อีคอมเมิร์ซ นโยบายเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาดค้าปลีกในประเทศจีน ปัจจัยอื่นๆ: การเพิ่มขึ้นของประชากร: ประเทศจีนมีประชากรมากที่สุดในโลก ประชากรที่เพิ่มขึ้นหมายถึงผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการ การพัฒนาเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค สรุป: ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนให้ตลาดค้าปลีกในประเทศจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นตลาดค้าปลีกชั้นนำของโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ประกอบด้วย การเติบโตของชนชั้นกลาง การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ นโยบายของรัฐบาล การเพิ่มขึ้นของประชากร และการพัฒนาเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการที่หลากหลาย และสนับสนุนการเติบโตของตลาดค้าปลีกในประเทศจีน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56478
Retail
O&B ควรใชกลยุทธ์อะไรเพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายตลาดต่างประเทศ
null
O&B ควรใชกลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายตลาดต่างประเทศ: 1. รักษาจุดเด่นของแบรนด์: O&B ควรรักษาจุดเด่นของแบรนด์ไว้ เช่น - รองเท้าหนังแท้นุ่ม ใส่สบาย: O&B ควรเลือกใช้วัสดุคุณภาพดีเพื่อรักษามาตรฐานของรองเท้า - รองเท้าหลากสีสัน: O&B ควรคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่มีรองเท้าหลากสีสันให้ลูกค้าเลือก - บริการลูกค้าที่ดี: O&B ควรให้บริการลูกค้าอย่างดี ตอบคำถามรวดเร็ว แก้ปัญหาข้อร้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ 2. ขยายช่องทางจำหน่าย: O&B ควรขยายช่องทางจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ - ออนไลน์: O&B ควรพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นให้ใช้งานง่าย มีระบบการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ - ออฟไลน์: O&B ควรขยายสาขาหน้าร้านไปยังห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศไทยและต่างประเทศ 3. ทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ: O&B ควรทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ - สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก: O&B ควรทำการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ - เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย: O&B ควรศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในต่างประเทศ - ใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสม: O&B ควรใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 4. พัฒนารองเท้ารุ่นใหม่: O&B ควรพัฒนารองเท้ารุ่นใหม่ ๆ อยู่เสมอ - รองเท้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า: O&B ควรศึกษาความต้องการของลูกค้าและพัฒนารองเท้าที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น - รองเท้าที่ทันสมัย: O&B ควรติดตามเทรนด์แฟชั่นและพัฒนารองเท้าที่ทันสมัย 5. หาพันธมิตรทางธุรกิจ: O&B ควรหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายตลาดต่างประเทศ - ตัวแทนจำหน่าย: O&B ควรหาตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ - ผู้ค้าปลีก: O&B ควรจับมือกับผู้ค้าปลีกในต่างประเทศ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ O&B สามารถนำไปใช้: - ร่วมงานกับ Influencer ในต่างประเทศ: O&B สามารถร่วมงานกับ Influencer ในต่างประเทศเพื่อโปรโมทรองเท้า - เข้าร่วมงานแสดงสินค้า: O&B สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ - ทำโฆษณาออนไลน์: O&B สามารถทำโฆษณาออนไลน์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สรุป: O&B ควรใชกลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายตลาดต่างประเทศ กลยุทธ์เหล่านี้ควรสอดคล้องกับจุดเด่นของแบรนด์ เป้าหมายทางธุรกิจ และงบประมาณ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56479
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พ่อค้าแม่ค้าต้องปรับตัวให้ทัน
null
เงาแห่งมังกร: บททดสอบของเหล่าพ่อค้า ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับของห้างสรรพสินค้าอันโอ่อ่า ผู้คนต่างแต่งกายด้วยชุดใหม่เอี่ยม ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เต็มไปด้วยความสุขของเทศกาลตรุษจีน บรรยากาศคึกคักคักคาย เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงเฉลิมฉลอง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น กลับแฝงไปด้วยความกังวล เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างจับจ้องตัวเลขยอดขายบนหน้าจออย่างใจจดใจจ่อ เทศกาลตรุษจีนปีนี้ ยอดขายดูจะน้อยกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด หลิน เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์เนม กำลังยืนมองกองเสื้อผ้าที่ยังคงวางเรียงอยู่บนชั้น เธอถอนหายใจด้วยความกังวล เทศกาลตรุษจีนปีนี้ ยอดขายของเธอตกลงไปถึง 20% ลูกค้าดูจะลังเลที่จะควักเงินซื้อของมากกว่าปกติ หลิน คิดทบทวนถึงสาเหตุ หลายปัจจัยถาโถมเข้าใส่เศรษฐกิจจีน สงครามการค้ากับอเมริกา ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดัชนีตลาดหุ้นร่วง ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไม่ใช่แค่หลิน เหล่าพ่อค้าแม่ค้ารายอื่นๆ ต่างก็ประสบปัญหาเช่นกัน ร้านอาหารหลายร้านมีลูกค้าบางตา ร้านขายของเล่นเงียบเหงา ผู้คนเริ่มหันมาจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความมืดมิด ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง ร้านค้าออนไลน์กลับมีตัวเลขที่สดใส ยอดขายพุ่งสูงขึ้น ผู้คนเริ่มหันมาซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น สะดวก รวดเร็ว และราคาถูกกว่า หลิน ตัดสินใจปรับกลยุทธ์ เธอเริ่มหันมาขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เรียนรู้วิธีการโปรโมทสินค้า ถ่ายรูปสินค้าให้สวยงาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกินคาด ยอดขายออนไลน์ของเธอเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเริ่มมีลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น เรื่องราวของหลิน สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ โลกยุคใหม่ ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้าต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ บททดสอบครั้งนี้ เป็นบททดสอบความอดทน ความยืดหยุ่น และความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ผู้ที่ผ่านพ้นบททดสอบนี้ไปได้ ย่อมเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจยุคใหม่
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56480
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การนำเทคโนโลยีมาใช้ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโต
null
รอยยิ้มแห่งหวัง ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมของเศรษฐกิจไทย ธุรกิจค้าปลีกก็เผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก เช่นเดียวกับ "ร้านขายของชำคุณยาย" ร้านเก่าแก่ที่อยู่คู่ชุมชนมายาวนาน ยายสมร เจ้าของร้าน กำลังกังวลกับยอดขายที่ตกต่ำลง ลูกค้าเริ่มบางตา หลายคนหันไปซื้อของออนไลน์แทน "ร้านเราจะอยู่รอดไหมนะ" ยายสมรครุ่นคิด อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหนุ่มชื่อ "ต้น" หลานชายของยายสมร เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน ต้นเรียนจบด้านการตลาดมาใหม่ เขาเห็นปัญหาของร้านยายและอยากช่วย "ยายครับ หลานมีไอเดียอยากจะลองปรับปรุงร้าน" ต้นพูด "ลองดูสิ ยายก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน" ยายสมรตอบ ต้นเริ่มจากการสำรวจตลาด พูดคุยกับลูกค้า และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ เขาพบว่า ลูกค้าต้องการความสะดวก รวดเร็ว และตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย ต้นจึงเสนอให้ยายสมรปรับร้านใหม่ โดย: - เพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ให้หลากหลาย - จัดโปรโมชั่นลดราคา - เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ ยายสมร initially กังวล แต่เธอก็ไว้ใจหลานชายและตัดสินใจลองทำ ต้นลงมือจัดร้านใหม่ เขียนป้ายราคาที่ชัดเจน ถ่ายรูปสินค้าลงโซเชียลมีเดีย และเปิดรับออเดอร์ทางออนไลน์ ในตอนแรก ยอดขายยังไม่ดีนัก แต่ต้นไม่ท้อ เขาพยายามเรียนรู้เพิ่มเติม หาเทคนิคใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ หลังจากผ่านไป 3 เดือน ผลลัพธ์เริ่มปรากฏ ยอดขายของร้านเริ่มดีขึ้น ลูกค้ากลับมาซื้อของที่ร้านมากขึ้น รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าของยายสมรอีกครั้ง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56483
Retail
จงสรุปบทความ H&M ประกาศปิด 160 สาขาในปีนี้
ยังคงเป็นปีแห่งความยากลำบากของวงการรีเทล ล่าสุด H&M ประกาศปิดอีก 160 สาขาในปีนี้ ปัญหาหลักมาจากเรื่องการบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ H&M ผู้เล่นตลาด Fast Fashion สัญชาติสวีเดนกำลังเจอวิกฤติในอุตสาหกรรมรีเทลอีกราย ในปีนี้เตรียมที่จะปิดสาขาอีก 160 แห่ง เกิดจากปัญหาใหญ่ในการบริหารจัดการสต็อกสินค้าไม่ดี ทำให้มีสต็อกสินค้าเกินถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง H&M ก็ได้พยายามจัดการปัญหานี้มานานแล้ว รวมถึงการจัดพอร์ตสินค้าใหม่ แผนที่จะปิดสาขา และขยายสาขานั้น ในปีนี้ H&M วางแผนที่จะเปิดร้านที่เป็นแฟล็กชิพ และร้านธรรมดารวม 335 แห่ง เป็นสาขารวมของทุกแบรนด์ในเครือ และวางแผนปิดสาขาอีก 160 แห่ง และกำลังเจรจาเซ็นสัญญาในอีก 1,000 แห่ง ส่วนแบรนด์ H&M จะมีสาขาใหม่อีก 175 สาขาในปีนี้ บริษัทจะหันมาโฟกัสที่ตลาดที่มีการเติบโตเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมมากขึ้น หนึ่งในความพยายามครั้งแรกของ H&M คือการประกาศปิดแบรนด์กางเกงยีนส์ Cheap Monday เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน 2019 ที่จะถึงนี้ ในขณะที่นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่า H&M ได้ตัดสินใจถูกต้องในการเลือกที่จะปิดแบรนด์ แต่ก็ยังกังวลถึงแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่แบรนด์แฟล็กชิพที่โดดเด่นของบริษัทอย่าง Afound, Arket และ Nyden ล้วนเป็นแบรนด์ขนาดเล็กเกินไปที่จะส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท อย่างไรก็ดีสิ่งที่ H&M พยายามปรับมาโดยตลอดก็เริ่มเห็นผลในทางที่ดีขึ้น ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2018 บริษัทมียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 12% และยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 24% ความสำเร็จมีปัจจัยหลักๆ มาจากการมีคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ที่แข็งแกร่ง มีส่วนช่วยทำให้ขายได้ราคาเต็ม อาจจะมีการลดราคาบ้าง และก็มีการปรับปรุงสินค้าในสต็อกให้ดีขึ้น ในด้านของผู้บริโภคนั้นมีความคาดหวังที่จะเห็นการอัปเกรดของร้านค้าออนไลน์ รวมถึงมีแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งบริษัทเน้นในการผสมผสานหน้าร้านออฟไลน์ กับช่องทางออนไลน์เข้าด้วยกันด้วย click-and-collect เพื่อให้ลูกค้ากลับมาที่หน้าร้านมากขึ้น และได้เปิดตัวโปรแกรม scan-and-buy ใน 47 ประเทศ
H&M บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจ Fast Fashion สัญชาติสวีเดน ประกาศปิด 160 สาขาในปีนี้ หลังประสบปัญหาจากการบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีสต็อกสินค้าเกินถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการจัดพอร์ตสินค้าใหม่ ปิดแบรนด์กางเกงยีนส์ Cheap Monday รวมทั้งเปิดร้านที่เป็นแฟล็กชิพ และร้านธรรมดาเพิ่มแล้วก็ตาม ขณะที่ลูกค้าของ H&M คาดหวังให้ทางร้านอัปเกรดร้านค้าออนไลน์ และมีแอพพลิเคชั่นบนมือถือ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ H&M พยายามปรับมาโดยตลอดก็เริ่มเห็นผลในทางที่ดีขึ้น ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2018 บริษัทมียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 12% และยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 24% ความสำเร็จมีปัจจัยหลักๆ มาจากการมีคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ที่แข็งแกร่ง มีส่วนช่วยทำให้ขายได้ราคาเต็ม อาจจะมีการลดราคาบ้าง และก็มีการปรับปรุงสินค้าในสต็อกให้ดีขึ้น ในด้านของผู้บริโภคนั้นมีความคาดหวังที่จะเห็นการอัปเกรดของร้านค้าออนไลน์ รวมถึงมีแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งบริษัทเน้นในการผสมผสานหน้าร้านออฟไลน์ กับช่องทางออนไลน์เข้าด้วยกันด้วย click-and-collect เพื่อให้ลูกค้ากลับมาที่หน้าร้านมากขึ้น และได้เปิดตัวโปรแกรม scan-and-buy ใน 47 ประเทศ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56487
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....วิกฤตฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของรัฐบาล แต่เราทุกคนต้องร่วมมือกัน หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของเรา
null
ไอพิษมรณะ สายลมหนาวพัดผ่านใบหน้าของโซฮี หญิงสาวชาวกรุงโซล แต่กลับสร้างความแสบร้อนระคายเคือง ไอค่อกแค่กของผู้คนบนท้องถนนดังระงม บรรยากาศอึมครึมปกคลุมเมืองหลวง ฝุ่นพิษ PM 2.5 กลับมาเยือนอีกครั้ง โซฮีรีบคว้าหน้ากากอนามัย N95 ออกจากกระเป๋า สวมใส่ให้มิดชิดก่อนออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังร้านขายยาที่อยู่ใกล้เคียง หวังจะหาซื้อเครื่องฟอกอากาศเพื่อบรรเทาความกังวล ภายในร้าน เต็มไปด้วยผู้คนต่างวัยต่างอาชีพ ทุกคนล้วนมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือการหาซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่นพิษ หน้ากากอนามัยทุกชนิดถูกกวาดซื้อจนเกลี้ยงจด เหลือเพียงชั้นวางที่ว่างเปล่า พนักงานขายยืนยันว่าสินค้าหมดสต็อกหลายวัน โซฮีรู้สึกสิ้นหวัง หันไปมองชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังยืนมองเครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ด้วยสายตาโหยหา “คุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศอยู่เหมือนกันใช่มั้ย?” โซฮีเอ่ยถาม ชายคนนั้นหันมามองด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ แต่ราคาค่อนข้างสูง ผมกำลังตัดสินใจอยู่” “ลองดูรุ่นนี้สิคะ ฟังก์ชั่นครบครัน แถมราคายังไม่แพงมาก” โซฮีแนะนำพร้อมหยิบใบปลิวมาชี้ให้ดู “ขอบคุณมากครับ คุณช่วยผมไว้เยอะเลย” ชายคนนั้นกล่าวขอบคุณ ทั้งคู่คุยกันสักพัก แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นพิษ ต่างคนต่างรู้สึกกังวลต่อสุขภาพของตัวเองและครอบครัว “จริงๆแล้ว ปัญหานี้ไม่ใช่แค่หน้าที่ของรัฐบาล แต่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน” ชายคนนั้นพูดขึ้น “ใช่ค่ะ เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” โซฮีเห็นด้วย “ผมชื่อมินซู ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายคนนั้นยื่นมือมาทักทาย “ฉันชื่อโซฮี เช่นกันค่ะ” โซฮียิ้มตอบ แม้จะเผชิญกับวิกฤตฝุ่นพิษ แต่โซฮีกลับรู้สึกอบอุ่นใจ มิตรภาพและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกิดขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56502
Retail
อะไรคือกลยุทธ์ที่ทำให้ Walmart อยู่รอดในยุคที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญวิกฤต?
null
จากบทความ กลยุทธ์หลักที่ทำให้ Walmart อยู่รอดในยุคที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญวิกฤต มีดังนี้ 1. กลยุทธ์ด้านราคา: สินค้าราคาไม่แพง: Walmart วางจุดแข็งที่สินค้าราคาไม่แพง ดึงดูดลูกค้าด้วยราคาที่สามารถเข้าถึงได้ กลยุทธ์ Everyday Low Price (EDLP): Walmart นำเสนอนโยบายราคาประหยัดทุกวัน (EDLP) หมายความว่าสินค้าจะมีราคาคงที่ ไม่ต้องรอช่วงลดราคา การเปรียบเทียบราคา: Walmart ชูจุดเด่นเรื่องราคาสินค้าที่ถูกกว่าคู่แข่ง โดยมักมีการเปรียบเทียบราคาสินค้ากับร้านค้าอื่น 2. กลยุทธ์ด้านสินค้า: สินค้าหลากหลาย: Walmart มีสินค้าหลากหลายครบครัน ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในจุดเดียว สินค้าแบรนด์ตัวเอง: Walmart พัฒนาสินค้าแบรนด์ตัวเอง (Private Label) ภายใต้แบรนด์ Great Value, Equate และ Sam’s Choice ซึ่งมีคุณภาพดีในราคาประหยัด สินค้าออนไลน์: Walmart ขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าสู่ช่องทางออนไลน์ เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้า 3. กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี: ระบบคลาวด์: Walmart ร่วมมือกับ Microsoft นำระบบคลาวด์มาใช้เพื่อพัฒนาระบบต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์: Walmart นำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พัฒนาสินค้า และบริการ แอปพลิเคชัน: Walmart พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ลูกค้า 4. กลยุทธ์ด้านการขยายธุรกิจ: ขยายสาขา: Walmart ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ เข้าซื้อกิจการ: Walmart เข้าซื้อกิจการธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ร่วมทุน: Walmart ร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ ขยายโอกาสทางธุรกิจ 5. กลยุทธ์ด้านบริการ: บริการรับสินค้า: Walmart เสนอบริการรับสินค้าที่หน้าร้าน (Pick-up in-store) และบริการจัดส่งสินค้า (Delivery) บริการชำระเงิน: Walmart พัฒนาระบบการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว บริการลูกค้า: Walmart มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าที่ดี ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Walmart ประสบความสำเร็จในการอยู่รอดในยุคที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญวิกฤต Walmart ยังคงเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกของอเมริกา บทวิเคราะห์: กลยุทธ์ของ Walmart แสดงให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME ควรเรียนรู้จาก Walmart และนำกลยุทธ์เหล่านี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง ประเด็นสำคัญ: กลยุทธ์ด้านราคา: สินค้าราคาไม่แพง, EDLP, เปรียบเทียบราคา กลยุทธ์ด้านสินค้า: สินค้าหลากหลาย, สินค้าแบรนด์ตัวเอง, สินค้าออนไลน์ กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี: ระบบคลาวด์, ปัญญาประดิษฐ์, แอปพลิเคชัน กลยุทธ์ด้านการขยายธุรกิจ: ขยายสาขา, เข้าซื้อกิจการ, ร่วมทุน กลยุทธ์ด้านบริการ: บริการรับสินค้า, บริการชำระเงิน, บริการลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56507
Retail
Alibaba ควรใชกลยุทธ์อะไรเพิ่มเติมเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจ New Retail
null
Alibaba ควรใชกลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพิ่มเติมเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจ New Retail: 1. พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพ: Alibaba ควรพัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความเร็ว: Alibaba ควรส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้เร็วขึ้น ความแม่นยำ: Alibaba ควรส่งสินค้าให้ตรงตามที่ลูกค้าสั่ง ความยืดหยุ่น: Alibaba ควรมีตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย 2. พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งออฟไลน์: Alibaba ควรพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งออฟไลน์ให้ดึงดูดลูกค้า เทคโนโลยี: Alibaba ควรนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านค้าออฟไลน์ การบริการ: Alibaba ควรให้บริการลูกค้าในร้านค้าออฟไลน์อย่างดี บรรยากาศ: Alibaba ควรสร้างบรรยากาศในร้านค้าออฟไลน์ให้น่าสนใจ 3. ขยายฐานลูกค้า: Alibaba ควรขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ลูกค้าต่างประเทศ: Alibaba ควรขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ลูกค้าในชนบท: Alibaba ควรขยายธุรกิจไปยังลูกค้าในชนบท ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหม่: Alibaba ควรศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ 4. พัฒนาสินค้าและบริการใหม่: Alibaba ควรพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ สินค้า: Alibaba ควรพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า บริการ: Alibaba ควรพัฒนบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นวัตกรรม: Alibaba ควรนำนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการ 5. หาพันธมิตรทางธุรกิจ: Alibaba ควรหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายธุรกิจ ห้างสรรพสินค้า: Alibaba ควรจับมือกับห้างสรรพสินค้า แบรนด์สินค้า: Alibaba ควรจับมือกับแบรนด์สินค้า บริษัทเทคโนโลยี: Alibaba ควรจับมือกับบริษัทเทคโนโลยี ตัวอย่างกลยุทธ์เพิ่มเติมที่ Alibaba สามารถนำไปใช้: ใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า: Alibaba สามารถใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ใช้ AI เพื่อพัฒนา chatbot: Alibaba สามารถใช้ AI เพื่อพัฒนา chatbot ที่สามารถตอบคำถามลูกค้าและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ใช้ AR และ VR เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สมจริง: Alibaba สามารถใช้ AR และ VR เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สมจริงสำหรับลูกค้า สรุป: Alibaba จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจ New Retail
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56509
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง ค้าปลีกยังถูก Disrupt อย่างต่อเนื่อง ได้ไหม
อุตสาหกรรมค้าปลีกยังคงมีข่าวเรื่องการถูก Disruption อย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่จากช่องทางออนไลน์ แต่ขยายไปช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย ล่าสุดเข้าหาลูกค้าถึงออฟฟิศ! มีกรณีศึกษาจากวงการรีเทลอีกหนึ่งเคส เมื่อบริการเช่าเสื้อผ้าออนไลน์ในนิวยอร์กอย่าง Rent the Runway ได้เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ WeWork ที่เป็น Co-working office ทั้งคู่ถือเป็น Disruptor ของวงการทั้งสิ้น โปรเจ็คต์นี้ได้มีความร่วมมือกันโดยที่ Rent the Runway จะติดตั้งจุดที่ให้ลูกค้าบริการตัวเองตัวเอง สามารถออเดอร์สินค้า และนำสินค้ามาคืนได้ที่จุดนี้ มีการใช้เทคโนโลยี และแอปพลิเคชั่น ทำการติดตั้งที่ WeWork ทั้ง 15 จุด ตั้งอยู่ใน 6 เมืองด้วยกัน ได้แก่ Chicago, Los Angeles, Miami, New York City, San Francisco และ Washington, D.C. จากเดิมที่ Rent the Runway ได้ให้สมาชิกเข้าถึงจุด drop-off สินค้าของบริษัทใน 5 จุดในเมือง New York City, Chicago, San Francisco, Washington, D.C. และ Los Angeles การขยายจุด drop-off เข้าสู่ WeWork ถือเป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เป็นการ Disrupt ในอุตสาหกรรมรีเทลที่ไม่จำเป็นจะต้องเปิดช้อปอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงในพื้นที่ต่างๆ และ WeWork ก็มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานออฟฟิศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อยู่แล้วด้วย อีกทั้งยังช่วยขยายตลาดได้เร็วขึ้น เพราะมีหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา แถมสมาชิก WeWork จะได้รับส่วนลดสมาชิก Rent the Runway ด้วย สำหรับ Rent the Runway ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 เป็นแพลตฟอร์มใช้เช่าเสื้อผ้าผู้หญิงแบบออนไลน์ เริ่มจากชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ และได้ขยายสู่เสื้อผ้าที่สามารถใส่ในชีวิตประจำวัน ใส่ทำงาน ใส่เที่ยวได้ รวมถึงมีแผนที่จะเพิ่มโอกาสการเช่าชุดให้มากขึ้นด้วยโมเดลสมาชิกรายเดือน ในขณะเดียวกันการร่วมมือกันครั้งนี้ก็เป็นการบุกตลาดรีเทลของ Wework ด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายนได้เปิดตัว WeMrkt ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกเล็กๆ ในย่าน Manhattan ที่สินค้าเมอร์เชนไดร์สต่างๆ ที่คัดเลือกมาเฉพาะสมาชิกโดยเฉพาะ และมีแผนที่จะขยายไปยังโลเคชั่นอื่นๆ เพิ่มเติม Source ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related มาดูว่า 15 แบรนด์ใหญ่ มีวิธีการปฏิวัติวงการค้าปลีกอย่างไรบ้าง In "News" Social Distancing ระยะ “ห่าง” ระหว่างลูกค้า การปรับตัวของธุรกิจ Retail ยุค COVID-19 In "News" เจาะลึกการวางแผนสื่อโฆษณาในห้างรีเทลด้วยบิ๊กดาต้า โดย Dunnhumby In "Analysis"
อุตสาหกรรมค้าปลีกยังคงมีข่าวเรื่องการถูก Disruption อย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่จากช่องทางออนไลน์ แต่ขยายไปช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย มีกรณีศึกษาจากวงการรีเทลอีกหนึ่งเคส เมื่อบริการเช่าเสื้อผ้าออนไลน์ในนิวยอร์กอย่าง Rent the Runway ได้เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ WeWork ที่เป็น Co-working office ทั้งคู่ถือเป็น Disruptor ของวงการทั้งสิ้น โปรเจ็คต์นี้ได้มีความร่วมมือกันโดยที่ Rent the Runway จะติดตั้งจุดที่ให้ลูกค้าบริการตัวเองตัวเอง สามารถออเดอร์สินค้า และนำสินค้ามาคืนได้ที่จุดนี้ มีการใช้เทคโนโลยี และแอปพลิเคชั่น ทำการติดตั้งที่ WeWork ทั้ง 15 จุด ตั้งอยู่ใน 6 เมืองด้วยกัน ได้แก่ Chicago, Los Angeles, Miami, New York City, San Francisco และ Washington, D.C. การขยายจุด drop-off เข้าสู่ WeWork ถือเป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เป็นการ Disrupt ในอุตสาหกรรมรีเทลที่ไม่จำเป็นจะต้องเปิดช้อปอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงในพื้นที่ต่างๆ WeWork ก็มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานออฟฟิศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อยู่แล้วด้วย อีกทั้งยังช่วยขยายตลาดได้เร็วขึ้น เพราะมีหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา แถมสมาชิก WeWork จะได้รับส่วนลดสมาชิก Rent the Runway ด้วย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56516
Retail
กรุณาสรุปบทความ ร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้ทยอยปิดตัวสาขาไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง
หรือว่าจะถึงตอนอวสานของเชนร้านกาแฟในเกาหลีใต้ ปีที่ผ่านมาพบว่า มีร้านกาแฟท้องถิ่นปิดตัวไปไม่ต่ำกว่า 10% ทั้งประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุคนี้ใครๆ ก็สนใจมาเล่นในตลาดกาแฟ อย่างร้านอาหารกับร้านสะดวกซื้อก็ลงมาเล่นกันสนุกสนาน อ่านข่าวนี้จบ เราน่าจะกลับมาทบทวนตลาดร้านกาแฟในไทยกันบ้างไหม? อ่านข่าวนี้จบ เราน่าจะกลับมาทบทวนตลาดร้านกาแฟในไทยกันบ้างไหม? ฟองสบู่เชนร้านกาแฟในเกาหลีใต้? ตามรายงานของ Korea Herald ระบุว่า ตลาดร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้ได้เข้าสู่จุดอิ่มตัว และได้ทยอยปิดตัวสาขากันไปไม่น้อย คิดเป็นตัวเลขไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง โดยตัวเลขร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้มีทั้งหมดกว่า 11,198 แห่ง หรือพูดอีกอย่างได้ว่า ในปีที่ผ่านมา 1 ใน 10 ของร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้ได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ หรือพูดอีกอย่างได้ว่า ในปีที่ผ่านมา 1 ใน 10 ของร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้ได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ Lee Kyung-hee ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจในเกาหลีใต้ บอกว่า สถานการณ์ของตลาดกาแฟในเกาหลีใต้เรียกได้ว่าเป็น “สงครามกาแฟ” (coffee war) เพราะนอกจากเชนร้านกาแฟที่เปิดสาขากันอย่างนับไม่ถ้วน ในด้านของ “บรรดาร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อ ต่างก็เอาเมนูเครื่องดื่มกาแฟเข้ามาขายในร้าน ไม่เว้นแม้แต่ในออฟฟิศยุคนี้ ก็ต้องมีเครื่องชงกาแฟไว้ให้พนักงานกันแล้ว สงครามกาแฟในเกาหลีใต้รุนแรงมากจริงๆ” ภาพของการขายกาแฟในร้านสะดวกซื้อ อาจเทียบได้กับบ้านเรา อย่างในเซเว่น อีเลฟเว่นที่ขายกาแฟสดในราคาที่สามารถแข่งขันกับร้านกาแฟท้องถิ่นได้ ส่วนในเกาหลีใต้จากข้อมูลเปิดเผยว่า กาแฟในร้านสะดวกซื้อมีราคาไม่เกิน 1,000 วอนหรือไม่ถึงถึง 1 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ ด้วยราคาที่ต่ำขนาดนี้จึงไม่แปลกที่จะทำให้ร้านกาแฟท้องถิ่นอยู่ยาก ตัวอย่างเชนร้านกาแฟเกาหลีใต้ที่กำลังทุรนทุราย รายแรกคือ Cafe Droptop เชนร้านกาแฟท้องถิ่นในเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งมา 7 ปีแล้ว ถ้าดูจากจำนวนสาขาของ Cafe Droptop ทั่วประเทศมีทั้งหมด 240 สาขา ถือว่าแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง (ถ้าไม่นับแบรนด์ต่างชาติอย่าง Starbucks ที่มีมากกว่า 1,000 สาขา) แต่ทั้งนี้ด้วยการแข่งขันจากรอบทิศทางในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ทำให้เชนร้านกาแฟท้องถิ่นรายนี้ต้องลดต้นทุนของบริษัทให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ต่อไป ส่วนอีกรายคือ Caffe Bene เชนร้านกาแฟรายนี้ออกอาการหนักหนาสาหัส เพราะเพิ่งยื่นต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองการล้มละลายไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
วงการร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้เข้าสู่จุดอิ่มตัว โดยแต่ละแฟรนไชส์ทยอยปิดตัวสาขาไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง ซึ่งนับเป็น 1 ใน 10 ของร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่แต่ละบริษัทมีเครื่องชงกาแฟติดออฟฟิศ ยิ่งไปกว่านั้นร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อต่างก็นำเมนูกาแฟเข้ามาขายในร้าน โดยกาแฟภายในร้านสะดวกซื้อจำหน่ายในราคาไม่เกิน 1,000 วอนหรือไม่ถึง 1 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำมากจนร้านกาแฟท้องถิ่นไม่สามารถแข่งขันด้วยได้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56523
Retail
จากกลยุทธ์การลงทุนของ Tencent ในบริษัทต่างๆ ทั่วโลก Tencent มีโอกาสที่จะนำประโยชน์จากการลงทุนเหล่านี้มาต่อยอดธุรกิจค้าปลีกอย่างไรบ้าง
null
Tencent มีโอกาสที่จะนำประโยชน์จากการลงทุนเหล่านี้มาต่อยอดธุรกิจค้าปลีกในหลายๆ ด้าน ดังนี้ 1. ขยายฐานลูกค้า -Tencent ลงทุนในบริษัทต่างๆ ทั่วโลก -บริษัทเหล่านี้มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย -Tencent สามารถนำเสนอสินค้าและบริการของตน kepadaลูกค้าของบริษัทเหล่านี้ ตัวอย่าง -Tencent ลงทุนใน SEA -SEA มีฐานลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -Tencent สามารถนำเสนอ WeChat Pay บริการชำระเงินออนไลน์ของตน kepadaลูกค้าของ SEA 2. พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ -Tencent ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ -บริษัทเหล่านี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ -Tencent สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาพัฒนาธุรกิจค้าปลีกของตน ตัวอย่าง -Tencent ลงทุนใน Tesla -Tesla มีเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติ -Tencent สามารถนำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาระบบขนส่งสินค้าอัตโนมัติ 3. เข้าถึงข้อมูลลูกค้า -Tencent ลงทุนในบริษัทต่างๆ ทั่วโลก -บริษัทเหล่านี้มีข้อมูลลูกค้า -Tencent สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ตัวอย่าง -Tencent ลงทุนใน Spotify -Spotify มีข้อมูลเกี่ยวกับเพลงที่ลูกค้าฟัง -Tencent สามารถนำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า 4. ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ -Tencent ลงทุนในบริษัทต่างๆ ทั่วโลก -บริษัทเหล่านี้มีเครือข่ายในตลาดใหม่ -Tencent สามารถใช้เครือข่ายนี้เพื่อขยายธุรกิจค้าปลีกของตน ตัวอย่าง -Tencent ลงทุนใน Flipkart -Flipkart เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซในอินเดีย -Tencent สามารถใช้เครือข่ายของ Flipkart เพื่อขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดีย 5. พัฒนาระบบนิเวศน์ค้าปลีก -Tencent ลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีก -บริษัทเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ค้าปลีก ตัวอย่าง -Tencent ลงทุนใน Meituan-Dianping -Meituan-Dianping เป็นบริษัทบริการจัดส่งอาหาร -Tencent สามารถทำงานร่วมกับ Meituan-Dianping เพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ค้าปลีกออนไลน์ อย่างไรก็ตาม Tencent ยังมีอุปสรรคบางประการที่ต้องเผชิญ เช่น -กฎระเบียบในต่างประเทศ -การแข่งขันจากบริษัทอื่นๆ -ความท้าทายในการผนวกรวมเทคโนโลยี แต่หาก Tencent สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ Tencent จะสามารถนำประโยชน์จากการลงทุนเหล่านี้มาต่อยอดธุรกิจค้าปลีกและกลายเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ สรุป กลยุทธ์การลงทุนของ Tencent เป็นโอกาสที่ดีสำหรับบริษัทในการต่อยอดธุรกิจค้าปลีก Tencent มีโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้า พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าถึงข้อมูลลูกค้า ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ และพัฒนาระบบนิเวศน์ค้าปลีก
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56527
Retail
กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks+Alibaba และ Tencent+Luckin Coffee ต่างกันอย่างไร?
null
กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks+Alibaba และ Tencent+Luckin Coffee นั้นมีความแตกต่างกันดังนี้ Starbucks+Alibaba: - เน้นการขยายสาขา Starbucks ในจีน โดยใช้เครือข่ายร้านอาหาร Ele.me ของ Alibaba - มุ่งเน้นไปที่การผสมผสานประสบการณ์ออฟไลน์และออนไลน์ - ลูกค้าสามารถสั่งกาแฟล่วงหน้าผ่านแอป Ele.me และไปรับที่สาขา Starbucks - นำเสนอเมนูพิเศษเฉพาะสำหรับการสั่งออนไลน์ - ใช้ระบบ Big Data ของ Alibaba เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ Tencent+Luckin Coffee: - เน้นการขยายธุรกิจเดลิเวอรี่ของ Luckin Coffee - มุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลของ Tencent - ลูกค้าสามารถสั่งกาแฟผ่านแอป WeChat ของ Tencent - นำเสนอบริการเดลิเวอรี่ที่รวดเร็ว - ใช้ระบบ AI ของ Tencent เพื่อวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และนำเสนอเมนูที่ตรงใจ สรุป: - กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks+Alibaba เน้นการผสมผสานประสบการณ์ออฟไลน์และออนไลน์ - กลยุทธ์ New Retail ของ Tencent+Luckin Coffee เน้นการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล คำอธิบายเพิ่มเติม: - กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks+Alibaba นั้นคล้ายคลึงกับโมเดล omni-channel ที่ผสมผสานช่องทางการขายแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Starbucks เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น และนำเสนอประสบการณ์ที่ราบรื่นต่อลูกค้า - กลยุทธ์ New Retail ของ Tencent+Luckin Coffee นั้นเน้นการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Luckin Coffee สามารถนำเสนอบริการเดลิเวอรี่ที่รวดเร็วและตรงใจลูกค้า ผลลัพธ์: - ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่ากลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks+Alibaba หรือ Tencent+Luckin Coffee นั้นจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน - ทั้งสองกลยุทธ์มีจุดแข็งและจุดอ่อนแตกต่างกัน - ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขันในตลาด และสภาพเศรษฐกิจ ประเด็นสำคัญ: - กลยุทธ์ New Retail กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในธุรกิจค้าปลีก - ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56529
Retail
แดเนียล จาง มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ Alibaba ประสบความสำเร็จหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ผลงานที่ Taobao: เพิ่มจำนวนผู้ใช้จาก 10 ล้านคนต่อวัน เป็น 189 ล้านคนต่อวัน เปลี่ยน Taobao จาก C2C ไปสู่ B2C ผลักดันให้เกิด "วันคนโสด" ของจีน ผลงานที่ Alibaba: ยอดขายในวันคนโสดปี 2012 เพิ่มขึ้น 1,700% จากปีก่อนหน้า ทำยอดขายในวันคนโสดปี 2012 ได้ถึง 1.9 หมื่นล้านหยวน (คิดเป็นเงินไทย 9.1 หมื่นล้านบาท) ขยายธุรกิจของ Alibaba ไปยังต่างประเทศ รางวัลที่ได้รับ: ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก ได้รับรางวัล "Ernst & Young World Entrepreneur of the Year Award" ตัวอย่าง: Taobao กลายเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในจีน Alibaba กลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก วันคนโสดกลายเป็นเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก งานวิจัยที่สนับสนุน: Alibaba: The House That Jack Ma Built by Duncan Clark The Dragon and the Phoenix: The Rise of China and the Fall of America by Michael Schuman ข้อจำกัด: ความสำเร็จของ Alibaba ไม่ได้เกิดขึ้นจากแดเนียล จาง เพียงคนเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อความสำเร็จของ Alibaba สรุป: แดเนียล จาง มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้ Alibaba ประสบความสำเร็จ คำแนะนำ: ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Alibaba เพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของบริษัท ข้อควรระวัง: ไม่ควรสรุปว่าความสำเร็จของ Alibaba เกิดขึ้นจากแดเนียล จาง เพียงคนเดียว
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56533
Retail
อะไรคือกลยุทธ์สำคัญที่ Unilever ใช้ในการขยายธุรกิจในประเทศจีน?
null
กลยุทธ์สำคัญที่ Unilever ใช้ในการขยายธุรกิจในประเทศจีนคือ การจับมือเป็นพันธมิตรกับ JD.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน เหตุผลหลักที่ Unilever เลือก JD.com มีดังนี้ 1. ความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ JD.com มีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศจีน ช่วยให้ Unilever สามารถกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ความรู้ในตลาดท้องถิ่น JD.com เข้าใจตลาดจีนอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้ Unilever สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน 3. เทคโนโลยี JD.com มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ช่วยให้ Unilever สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจับมือเป็นพันธมิตรครั้งนี้ -เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้า -เข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้มากขึ้น -เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศจีน ตัวอย่างกลยุทธ์ Retail ที่ Unilever อาจนำมาใช้ -การใช้ Big Data: วิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ -Omnichannel: ผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ -Personalization: นำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะกับ individual ข้อดีของกลยุทธ์ Retail เหล่านี้ -ช่วยให้ Unilever เข้าใจผู้บริโภคชาวจีนได้ดีขึ้น -เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า -เพิ่มยอดขาย สรุป การจับมือเป็นพันธมิตรกับ JD.com เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ Unilever ใช้ในการขยายธุรกิจในประเทศจีน กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Unilever เข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศจีน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56554
Retail
นารายามีกลยุทธ์อย่างไรในการขยายธุรกิจผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ?
null
จากบทความ นารายามีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ดังนี้ 1. ร่วมมือกับมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ -นารายาจับมือกับมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ในประเทศทั้ง 3 ราย ได้แก่ Lazada, JD.co.th และ Shopee -กลยุทธ์นี้ช่วยให้นารายาเข้าถึงฐานลูกค้าออนไลน์ที่กว้างขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนสร้างแพลตฟอร์มของตัวเอง -นารายาสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงิน และระบบโลจิสติกส์ที่มีอยู่ของมาร์เก็ตเพลส 2. คัดสรรสินค้าที่เหมาะกับผู้บริโภคออนไลน์ -ในช่วงแรก นารายาจะวางจำหน่ายสินค้าเพียง 500 รายการบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ -สินค้าที่เลือกจำหน่ายเป็นสินค้าที่ขายดี และเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ -ตัวอย่างสินค้าที่เหมาะกับผู้บริโภคออนไลน์ ได้แก่ สินค้าขนาดเล็ก สินค้าราคาไม่แพง และสินค้าที่เหมาะกับการเป็นของขวัญ 3. พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง -นารายาอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง -แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเองจะช่วยให้นารายามีอิสระในการควบคุมกลยุทธ์ราคา การจัดส่งสินค้า และประสบการณ์ลูกค้า -นารายาสามารถใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเองในการเก็บข้อมูลลูกค้า พัฒนาโปรแกรม CRM และสร้างฐานลูกค้าที่ภักดี 4. เพิ่มสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ -นารายาจะเพิ่มสินค้ามากขึ้นบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซตามพฤติกรรมผู้บริโภค -นารายาอาจจะนำเสนอบริการเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น บริการสั่งสินค้าล่วงหน้า บริการห่อของขวัญ และบริการจัดส่งสินค้าแบบ Same Day Delivery 5. วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและพัฒนาแคมเปญการตลาด -นารายาสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ -ข้อมูลลูกค้าจะช่วยให้นารายาเข้าใจความต้องการของลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า และพัฒนาแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ 6. มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดี -นารายามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดีให้กับลูกค้า -นารายาจะพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย นำเสนอรูปภาพสินค้าที่มีคุณภาพสูง และจัดส่งสินค้ารวดเร็ว สรุป นารายามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ นารายาจับมือกับมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ คัดสรรสินค้าที่เหมาะกับผู้บริโภคออนไลน์ พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง เพิ่มสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและพัฒนาแคมเปญการตลาด และมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดี กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้นารายาประสบความสำเร็จในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56555
Retail
ช่วยสรุปบทความ เปิดแผน Unilever ภายใต้ CEO คนใหม่ ยุคที่ความท้าทายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของ Retail
ความท้าทายอยู่ที่ช่องทางการขาย โรเบิร์ตมองว่าความท้าทายที่สุดในการทำตลาดในประเทศไทยในตอนนี้อยู่ที่ “ค้าปลีก” ที่มีการเปลีย่นแปลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือน 20-30 ปีก่อนที่มีการซื้อรูปแบบเดิมๆ อยากได้สินค้าก็ไปซื้อที่ร้านค้า แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป โมเดลธุรกิจเปลี่ยน โมเดลของค้าปลีกเปลี่ยน มีร้านสะดวกซื้อเข้ามา มีออนไลน์เข้ามา ชีวิตผู้บริโภคไม่ได้มีแพลตเทิร์นเดิมๆ จึงต้องตามผู้บริโภคให้ทัน สำหรับภาพรวมของ Unilever ในระดับโกลบอลนั้น มีการทำตลาดใน 190 ประเทศทั่วโลก มีพนักงาน 169,000 คน ในปี 2017 มีรายได้รวม 53,700 ล้านยูโร มี 14 แบรนด์ที่มียอดขายมากกว่า 1,000 ล้านยูโร และมีผู้ใช้สินค้าของ Unilever ในแต่ละวันถึง 2,500 คน ส่วนในประเทศไทย รายได้ใหญ่สุดยังเป็นกลุ่ม Home Care สัดส่วน 40% มีแบรนด์อย่าง บรีส โอโม่ คอมฟอร์ต ซันไลต์ Cif และ Promax รองลงมาคือกลุ่ม Beauty and Personal Care สัดส่วน 39% มีแบรนด์ ลักซ์ ซันซิล วาสลีน โดฟ ซิตร้า เรโซน่า Pond’s Thesemme AXE และ Close Up และกลุ่มสุดท้าย Food & Ice Refreshment สัดส่วน 21% มีแบรนด์ คนอร์ วอลล์ Best Foods Liptons Magnum Cornetto Paddle Pop Ben&Jerry’s และ เอเชียน ดีไลท์ โรเบิร์ตบอกว่าสินค้ากลุ่ม Food & Ice Refreshment มีการเติบโตได้ดีจากสินค้าวอลล์ ไอศกรีม แซนวิช รวมถึงคนอร์ คัพโจ้ก สินค้ากลุ่ม Beauty and Personal Care ก็มีสินค้ากลุ่มดูแลผิวหน้าที่เติบโตดี ส่วนสินค้ากลุ่ม Home Care โตน้อยสุด แต่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก
ความท้าทายอยู่ที่ช่องทางการขาย โรเบิร์ตเห็นว่าความท้าทายในการทำตลาดในประเทศไทยตอนนี้อยู่ที่การค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลง ไม่เหมือน 20-30 ปีที่ผ่านมา อยากได้สินค้าก็ไปซื้อที่ร้านค้า แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป โมเดลธุรกิจเปลี่ยน โมเดลของค้าปลีกเปลี่ยน มีร้านสะดวกซื้อเข้ามา มีออนไลน์เข้ามา ชีวิตผู้บริโภคไม่ได้มีแพลตเทิร์นเดิมๆ จึงต้องตามผู้บริโภคให้ทัน Unilever ทำการตลาดใน 190 ประเทศทั่วโลก มีรายได้รวม 53,700 ล้านยูโร ในปี 2017 และมีผู้ใช้สินค้าถึง 2,500 คนต่อวัน ในประเทศไทย ส่วนใหญ่รายได้มาจากกลุ่ม - Home Care สัดส่วน 40% มีแบรนด์อย่าง บรีส โอโม่ คอมฟอร์ต ซันไลต์ Cif และ Promax - รองลงมาคือกลุ่ม Beauty and Personal Care สัดส่วน 39% มีแบรนด์ ลักซ์ ซันซิล วาสลีน โดฟ ซิตร้า เรโซน่า Pond’s Thesemme AXE และ Close Up - และกลุ่มสุดท้าย Food & Ice Refreshment สัดส่วน 21% มีแบรนด์ คนอร์ วอลล์ Best Foods Liptons Magnum Cornetto Paddle Pop Ben&Jerry’s และ เอเชียน ดีไลท์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56559
Retail
กลยุทธ์ "The Future of Retail" ของกลุ่ม The Mall Group เพื่อรับมือกับ Retail Apocalypse มีอะไรบ้าง?
ธุรกิจค้าปลีกค่อนข้างเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ หลังการค้าบนโลกออนไลน์เข้ามาแย่งกำลังซื้อไปมาก ทำให้เกิดการตื่นตัวของค้าปลีกดั้งเดิมหลายกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือ The Mall ที่เริ่มปรับตัว แม้จะตามเพื่อนร่วมธุรกิจรายอื่นไปบ้าง ยอมรับว่ากลัว แต่คือความท้าทายใหม่ ด้วยข่าวทั่วโลกที่นำเสนอฝั่ง Ecommerce นั้นเติบโตเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็น Alibaba ที่ขยายอาณาจักรไปทั่วโลก หรือ Amazon เองก็เพิ่งซื้อกิจการ Whole Foods Market เพื่อรุกตลาดออฟไลน์ ส่วนฝั่งค้าปลีกดั้งเดิมกลับมีแต่เรื่อง Retail Apocalypse ทั้งยอดขายที่ตกลง รวมถึงการทยอยปิดสาขา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และเรื่องดังกล่าวก็ส่งสัญญาณมาถึงกลุ่ม The Mall โดย ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ก็ยอมรับตรงๆ ว่า เมื่อได้ยินข่าวเรื่องนี้ก็ค่อนข้างกังวล และกลัวมาก เพราะมันคือเรื่องที่ค้าปลีกดั้งเดิมต้องผ่านไปให้ได้ แต่อีกแง่หนึ่งก็คือความท้าทายใหม่ของธุรกิจ ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ก็ยอมรับตรงๆ ว่า เมื่อได้ยินข่าวเรื่องนี้ก็ค่อนข้างกังวล และกลัวมาก เพราะมันคือเรื่องที่ค้าปลีกดั้งเดิมต้องผ่านไปให้ได้ แต่อีกแง่หนึ่งก็คือความท้าทายใหม่ของธุรกิจ The Future of Retail คือแผนที่ต้องไป สำหรับกลุ่ม The Mall มีแผนที่จะก้าวข้าม Retail Apocalypse ด้วยแนวคิด The Future of Retail ซึ่งทำมาระยะหนึ่งแล้ว เช่นการติดตั้งเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Cashless Society เช่น Samsung Pay, Alipay และ WechatPay ซึ่งล่าสุดได้ร่วมมือกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อรับชำระด้วย QR Code ของ Promt Pay ได้ โดยการชำระ QR Code จะทำในตัว Gourmet Market และ Food Hall รวมถึงร้านขายที่ขายอาหารแบบ Take Home ได้ทุกสาขา โดยเฉพาะตัว Gourmet Market จะมีช่องรับชำระเงินอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดระยะเวลาการรอชำระเงิน นอกจากนี้ยังลงทุนติดตั้งตู้ทำเรื่องคืนภาษีให้กับชาวต่างชาติ และลูกค้าคนไทยที่ต้องใช้ในช่วงปลายปีด้วย อย่างไรก็ตาม “คน” คือเรื่องที่กลุ่ม The Mall จะเก็บไว้ ไม่ได้นำหุ่นยนต์มาทดแทนทั้งหมดเพื่อก้าวไปตามแผน The Future of Retail เพราะเชื่อว่าคนยังต้องการคุยกับคนอยู่ รวมถึงวัฒนธรรมในประเทศไทยก็ยังชื่นชอบความเป็นสังคม ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเหมือนบางประเทศ ถ้าเป็นเป็นแบบนั้นคงสมเหตุผลที่หุ่นยนต์จะบูม และ Ecommerce โต ปีหน้าคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ “คนไทยชอบอยู่เป็นสังคม ไม่เหมือนชาวสแกนดิเนเวียนที่ใข้ชีวิตโดดเดี่ยว และชินไปกับมัน ดังนั้นนั้นหุ่นยนต์คงตอบโจทย์ แต่ที่ไทยมันไม่ใช่ และตอนนี้บางประเทศ Ecommerce ก็ยังไม่บูม เช่นญี่ปุ่น กับสเปน และยิ่งเราแข่งราคาบนโลกออนไลน์เท่าไร ก็เหมือนยก Hypermarket ขึ้นไปไว้บนนั้น และไม่ให้ประสบการณ์ใหม่ ซึ่งมันคงไม่ใช่” ทั้งนี้ปี 2561 คือปีที่สำคัญของกลุ่ม The Mall เพราะนอกจากปีนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกตั้ง และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่ชัดขึ้น ทางกลุ่ม The Mall ก็มีการปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึงการปรับปรุงสาขาเดิมๆ และปั้นให้สาขาในต่างจังหวัดมีนวัตกรรมมากขึ้น ส่วนปลายปีนี้ยักษ์ค้าปลีกของประเทศไทยรายนี้มองว่าน่าจะดีขึ้น เพราะมีโครงการช้อปช่วยชาติเข้ามากระตุ้นยอดขาย หลังจาก 10 เดือนที่ผ่านมาการใช้จ่ายของประชากรในประเทศค่อนข้างซบเซา แต่ได้ยอดซื้อจากนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาช่วย ทำให้โดยรวมยังดูคึกคัก สรุป ถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของกลุ่ม The Mall ก็ว่าได้ หลังจากปล่อยให้เพื่อนร่วมอุตสาหกรรมก้าวล้ำในเรื่องนวัตกรรมต่างๆ ไปเยอะ โดยเฉพาะในมุม Omni Channel ซึ่งทางกลุ่ม The Mall ยังขาดอยู่ และแม้จะบอกว่าอยากให้วัฒนธรรม รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานพร้อมก่อน แต่นั่นคงเป็นเรื่องที่กลุ่ม The Mall ต้องลงทุนเองแล้ว มิฉะนั้นก็คงตกขบวนอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเรื่องการเข้าระดมทุนนั้น ศุภลักษณ์ เสริมว่า “การเข้าตลาดไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เราอยากจะเติบโตอย่างยั่งยืน และ New Exprerience คือตัวแปรของเรื่องนี้ ที่สำคัญเรามีเงินเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่เราต้องเข้า แต่การปรับโครงสร้างนั้นเราแค่เตรียมการเฉยๆ เพราะเมื่อก่อนคิดไม่ออกก็ไปเข้าตลาด ซึ่งนั่นไม่ใช่เป้าหมายของเราเลย” ศุภลักษณ์ คือตัวแปร ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Ecommerce ไม่ได้ทำลายแค่ห้างค้าปลีก แต่นักลงทุนก็อาจไม่ได้เงินคืนกว่า 48,000 ล้านดอลลาร์ In "News" ขาย FMCG ผ่าน Ecommerce จะช่วยค้าปลีกให้หลุดพ้นจากยุค Retail Apocalypse ได้หรือไม่? In "News" ต้านไม่ไหว! ค้าปลีกในอเมริกาทยอยปิดตัวอย่างเป็นทางการ ส่วนห้างสรรพสินค้ารอวันตาย In "News"
กลยุทธ์ "The Future of Retail" ของกลุ่ม The Mall Group เพื่อรับมือกับ Retail Apocalypse มีดังนี้: การนำเทคโนโลยีมาใช้: ติดตั้งระบบชำระเงินแบบ Cashless Society รองรับการชำระด้วย Samsung Pay, Alipay, WechatPay และ QR Code ของ Prompt Pay ติดตั้งตู้ทำเรื่องคืนภาษีอัตโนมัติ พัฒนาระบบ Omni Channel เพื่อเชื่อมโยงช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน การปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้ง: พัฒนา Gourmet Market และ Food Hall ให้มีสินค้าหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มพื้นที่สำหรับกิจกรรมและอีเวนต์ต่างๆ ดึงดูดลูกค้าให้มาใช้เวลามากขึ้น ปรับปรุงการตกแต่งร้านค้า ให้ดูทันสมัย น่าสนใจ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง สร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การขยายธุรกิจ: ขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจโลจิสติกส์ ฯลฯ มองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56564
Retail
ห้าง Don Quijote ตั้งเป้ายอดขายเท่าไหร่ภายในเดือน ก.ค. 2561- เดือน มิ.ย. 2562
a. 470 แสนล้านเยน b. 1 ล้านล้านเยน c. 10 ล้านล้านเยน d. 9.35 แสนล้านเยน
คำตอบได้แก่ b. เนื่องจาก เพราะห้าง Don Quijote ตั้งเป้ายอดขาย 1 ล้านล้านเยน (ราว 3 แสนล้านบาท) ภายในเดือน ก.ค. 2561- เดือน มิ.ย. 2562 หลังยอดขายปี 2018 น่าจะปิดที่ 9.35 แสนล้านเยน (ราว 2.78 แสนล้านบาท) เติบโต 13% และเป็นการเติบโตในแง่ยอดขายที่ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 29 แล้วอีกด้วย ยิ่งกระแสการท่องเที่ยวญี่ปุ่นบูมจนมีนักท่องเที่ยวกว่า 28.7 ล้านคนเข้าประเทศ ก็ทำให้เงินสะพัดในร้าน Donki เข้าไปใหญ่ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ห้าง Don Quijote หรือ Donki คืออีกเป้าหมายของหลายคน เพราะมันคือสวรรค์ของนักช้อปที่มีทุกอย่างให้เลือกสรร และเงินที่จ่ายๆ ไปก็จะทำให้ห้างนี้กำลังจะมียอดขายเกินราว 3 แสนล้านบาทแล้ว ทางบริษัทได้ปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 3 ครั้ง ผ่านปัจจัยบวกมากมาย และทิศทางปัจจัยบวกน่าจะยังเป็นเช่นเดิมอยู่ จึงไม่แปลกที่บริษัทจะตั้งเป้ายอดขายแตะ 1 ล้านล้านเยน สำหรับร้าน Donki มีทั้งหมด 416 สาขาทั่วโลก และมีเป้าหมายขยายสาขานอกประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปัจจุบันมีสาขาในประเทศสิงคโปร์แล้ว 2 แห่ง เนื่องจากเตรียมเปิดสาขาในประเทศไทย 1 แห่งในช่วงสิ้น 2018 และมีแผนขยายหน้าร้านในพื้นที่นี้ 1-2 สาขา/ปี อีกด้วย ทั้งนี้การทำยอดขายได้ถึง 1 ล้านล้านเยนของ Don Quijote Holdings ก็ทำให้ค้าปลีกรายนี้อยู่ระดับเดียวกับค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในประเทศทันที ไม่ว่าจะเป็นร้าน Uniqlo ของกลุ่ม Fast Retailing รวมถึงผู้ให้บริการร้าน 7-Eleven อย่างกลุ่ม Seven & i เป็นต้น
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_56567
Retail
กลยุทธ์ Retail ของ Luckin Coffee ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ และกลยุทธ์เหล่านั้นส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร
null
1. ผสมผสานออฟไลน์และออนไลน์: Luckin Coffee ผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ลูกค้าสามารถสั่งกาแฟผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ และเลือกรับสินค้าได้ที่ร้าน หรือให้ส่งถึงที่ภายใน 30 นาที 2. เน้นความสะดวกรวดเร็ว: Luckin Coffee เน้นความสะดวกรวดเร็ว ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ ชำระเงิน และรอรับสินค้าได้โดยไม่ต้องลงจากรถ หรือให้ส่งถึงที่ 3. นำเสนอราคาที่ดึงดูดใจ: Luckin Coffee นำเสนอราคาที่ดึงดูดใจ ลูกค้าสามารถซื้อกาแฟในราคาที่ถูกกว่าร้านกาแฟทั่วไป 4. มอบโปรโมชั่นและส่วนลด: Luckin Coffee มอบโปรโมชั่นและส่วนลด ดึงดูดใจลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่า 5. ขยายสาขาอย่างรวดเร็ว: Luckin Coffee ขยายสาขาอย่างรวดเร็ว เข้าถึงลูกค้าในหลายพื้นที่ ผลลัพธ์: กลยุทธ์ Retail เหล่านี้ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ Luckin Coffee ดังนี้: เพิ่มยอดขาย: กลยุทธ์ Retail เหล่านี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ Luckin Coffee เพิ่มจำนวนลูกค้า: กลยุทธ์ Retail เหล่านี้ช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าให้กับ Luckin Coffee สร้างการรับรู้แบรนด์: กลยุทธ์ Retail เหล่านี้ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ Luckin Coffee เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: กลยุทธ์ Retail เหล่านี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ Luckin Coffee ตัวอย่าง: - Luckin Coffee นำเสนอโปรโมชั่น "ซื้อ 1 แถม 1" ดึงดูดใจลูกค้าใหม่ - Luckin Coffee ขยายสาขาไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน โดยสรุป: Luckin Coffee ประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์ Retail ที่ผสมผสานออฟไลน์และออนไลน์ เน้นความสะดวกรวดเร็ว นำเสนอราคาที่ดึงดูดใจ มอบโปรโมชั่นและส่วนลด และขยายสาขาอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยเพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวนลูกค้า สร้างการรับรู้แบรนด์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน Luckin Coffee กลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญในตลาดกาแฟจีน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56570
Retail
ช่วยสรุปบทความ สยามพิวรรธน์ จับมือ Simon พัฒนาโครงการ Luxury Premium Outlet รวม 3 แห่งในไทย ให้หน่อยนะคะ
เกือบทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างประเทศของหลายคนมักจะแวะ Outlet เพื่อซื้อสินค้าราคาประหยัดกลับมาเสมอ และตอนนี้ที่กรุงเทพก็กำลังจะมี Outlet เป็นแล้ว แถมเป็น Luxury Premium Outlet ที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์หรูด้วย Luxury Premium Outlet กับก้าวใหม่ของสยามพิวรรธน์ เกือบ 10 ปีมาแล้วที่ “สยามพิวรรธน์” ผู้บริหารโครงการ Siam Paragon, Siam Center และ Siam Discovery เดินหน้าธุรกิจแบบไม่ได้พัฒนาห้างสรรพสินค้า แต่เน้นพัฒนาสถานที่ที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ ผ่านนวัตกรรม หรือเครื่องมืออื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค และเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็ถูกใช้ในโครงการ Icon Siam ที่ทางกลุ่มเป็นหนึ่งในพันธมิตรด้วย เพราะการเป็น Real Developer หรือผู้พัฒนาโครงการ สามารถเป็นอะไรได้มากกว่าแค่ Retailer หรือผู้ค้าเฉยๆ และจากความสำเร็จของโครงการต่างๆ ในอดีต ทำให้ทางกลุ่มตัดสินใจเดินเกมใหม่ด้วยธุรกิจ Luxury Premium Outlet ชฎาทิพย์ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เล่าให้ฟังว่า ในช่วง 1-2 ที่ผ่านมาตลาด Luxury หรือสินค้าแบรนด์หรูมีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้าประเภทนี้จำนวนมาก และกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญของบริษัทในการเข้ามารุกตลาดนี้เต็มตัว จับมือยักษ์อสังหาริมทรัพย์โลกอย่าง Simon สำหรับการพัฒนาโครงการ Luxury Premium Outlet กลุ่มสยามพิวรรธน์ได้ร่วมมือกับ Simon หนึ่งในยักษ์ใหญ่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกระดับโลก เพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว 3 แห่งในประเทศไทย หนึ่งในนั้นตั้งอยู่ที่กรุงเทพ ขนาดพื้นที่เช่า 50,000 ตร.ม. อยู่บนที่ดิน 150 ไร่ พร้อมให้บริการเดือนต.ค. 2562 “ตัวโครงการ Luxury Premium Outlet จะประกอบด้วยแบรนด์หรูกว่า 200 แบรนด์ทั้งไทย และต่างประเทศ ทั้งยังลดราคา 25-70% ทุกวัน ที่สำคัญแบรนด์สินค้าที่อยู่ที่นี่จะใกล้เคียงกับ Luxury Premium Outlet ที่ Simon บริหารอยู่ 96 แห่งทั่วโลก และมี 15 แห่งอยู่ในเอเชีย” อย่างไรก็ตามด้วยความเป็น Outlet และใช้พื้นที่ค่อนข้างใหญ่จึงเชื่อว่า Luxury Premium Outlet แห่งนี้จะอยู่ย่านชานเมืองแน่นอน ซึ่งก็เหมือนกับ Outlet อื่นๆ ในต่างประเทศ ดังนั้นระยะทางจึงไม่น่าเป็นปัญหากับคนไทย หรือนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่าต่อการเดินทางไปหา คนละตลาดกับสินค้าหรูที่จำหน่ายอยู่เดิม “เรื่องการทำราคาใน Outlet คงไม่ต่างกันมาในแต่ละประเทศที่ Simon บริหารอยู่ เพราะเขาเป็นระดับโลก และยิ่งได้สยามพิวรรธน์เข้ามาช่วยยกระดับเรื่องประสบการณ์การจับจ่ายสินค้า ก็น่าจะทำให้ Outlet แห่งนี้เป็นมากกว่าแค่ที่รวมสินค้าลดราคา แต่มันคือแหล่งรวมประสบการณ์ซื้อสินค้ารูปแบบใหม่” ทั้งนี้รูปแบบ, ตัวเลขมูลค่าการลงทุน และชื่อของโครงการ Luxury Premium Outlet ยังไม่มีการเปิดเผยในตอนนี้ แต่ทางกลุ่มสยามพิวรรธน์ และ Simon ได้ร่วมกันตั้งบริษัทร่วมกันแล้ว มีทุนจดทะเบียน 130 ล้านบาท และเชื่อว่าเงินลงทุนภายใน 3 ปีจากนี้เพื่อพัฒนาทั้ง 3 โครงการจะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนตัวสยามพิวรรธน์เองหลังจากนี้ต้องจับตาว่าโครงการ Icon Siam ที่ลงุทนร่วมกับแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ในมูลค่ากว่า 54,000 ล้านบาทจะออกมาแบบไหน เพราะภายในปี 2561 ก็จะเปิดให้บริการแล้ว สรุป ธุรกิจ Outlet ค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ในไทย ยิ่ง Luxury Premium Outlet ก็ยิ่งใหม่มาก แต่เชื่อว่าหากเกิดขึ้นจริงก็คงดึงดูดนักท่องเที่ยวไปที่นั่นได้ไม่ยาก เพราะใครๆ ก็อยากซื้อสินค้าที่มีราคาถูก ถ้านึกไม่ออกก็ให้นึกเวลาไปเที่ยวต่างประเทศแล้วต้องแวะ Outlet เพื่อซื้อของก่อนกลับไทย ซึ่ง Outlet ที่กรุงเทพก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน
สยามพิวรรธน์ ผู้บริหารโครงการ Siam Paragon, Siam Center และ Siam Discovery ร่วมมือกับ Simon หนึ่งในยักษ์ใหญ่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกระดับโลก พัฒนาโครงการ Luxury Premium Outlet รวม 3 แห่งในประเทศไทย โดยหนึ่งในสามจะตั้งอยู่ที่กรุงเทพ และมีขนาดพื้นที่เช่า 50,000 ตร.ม. บนพื้นที่ 150 ไร่ พร้อมเปิดให้บริการเดือนตุลาคม 2562 นำเสนอแบรนด์หรูกว่า 200 แบรนด์ทั้งไทย และต่างประเทศ และลดราคา 25-70% ทุกวัน โดยแบรนด์สินค้าที่วางจำหน่ายที่ Luxury Premium Outlet ประเทศไทย จะใกล้เคียงกับแบรนด์สินค้าใน Luxury Premium Outlet ที่ Simon บริหารอยู่ 96 แห่งทั่วโลก ซึ่งมีถึง 15 แห่งในเอเชีย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56575
Retail
กลยุทธ์หลักของ Unilever ในการพัฒนาโมเดลร้านติดดาวคืออะไร?
null
กลยุทธ์หลักของ Unilever ในการพัฒนาโมเดลร้านติดดาวมี 3 ประการ ดังนี้: 1. การยกระดับร้านโชห่วยในชุมชน: - ปรับปรุงร้านโชห่วยให้มีระบบจัดการสินค้าที่ดีขึ้น - จัดฝึกอบรมให้เจ้าของร้านเกี่ยวกับการจัดการร้านค้า - สนับสนุนสินค้าและโปรโมชั่นพิเศษ 2. การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก: - วางสินค้า Unilever ในร้านติดดาวอย่างเด่นชัด - จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับร้านติดดาว - สนับสนุนสื่อการตลาด 3. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: - พัฒนาโปรแกรมสมาชิกสำหรับร้านติดดาว - จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า - สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกลยุทธ์เหล่านี้: - ยอดขายสินค้า Unilever เพิ่มขึ้น - Brand awareness ของ Unilever เพิ่มขึ้น - ร้านโชห่วยมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้น - ลูกค้ามีประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี ตัวอย่างกลยุทธ์ Retail ที่ Unilever นำมาใช้กับร้านติดดาว: Category Management: จัดหมวดหมู่สินค้าให้เป็นระเบียบ หาง่าย Visual Merchandising: จัดวางสินค้าให้สวยงาม ดึงดูดใจลูกค้า Promotion: จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น ลดราคา แจกของสมนาคุณ Loyalty Program: พัฒนาโปรแกรมสมาชิกเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ข้อดีของกลยุทธ์ Retail เหล่านี้: - ช่วยเพิ่มยอดขาย - สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า - สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ สรุป: โมเดลร้านติดดาวเป็นกลยุทธ์ที่ Unilever ใช้ในการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Unilever เข้าถึงลูกค้าในชุมชนได้มากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56578
Retail
Villa Market วางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยดิจิทัล ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล 2 รูปแบบ
Retail ยุคนี้เริ่มมีการทรานส์ฟรอมเข้าสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว Villa Market เป็นรายล่าสุดที่พัฒนาแพลตฟอร์มรองรับสังคมไร้เงินสด เปิดตัว e-Wallet และช้อปออนไลน์ พาซูเปอร์มาร์เก็ตเข้ารีเทล 4.0 Villa Market หนึ่งในผู้เล่นรีเทลในกลุ่มของซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งจับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยม ทำตลาดมาแล้ว 43 ปี กลยุทธ์ที่ผ่านมามีเพียงแค่การขยายสาขาใหครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเท่านั้น แต่ในปีนี้ถึงเวลาปรับตัวเข้าสู่ Digital Transformation เต็มตัว โจทย์ของ Villa Market จึงต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิม พร้อมกับขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น และต้องปรับตัวให้ทันกับยุคสมัย จึงได้เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์พัฒนา 2 แพลตฟอร์มดิจิทัล 1.แอพพลิเคชั่น VPlus Wallet เป็น e-Wallet สำหรับเติมเงินเจ้าแอพ ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด โดยที่แตกต่างจากรายอื่นที่มี Loyalty Program ในการสะสมแต้มแลกของรางวัลพ่วงในแอพ 2. เว็บไซต์ shoponline.villamarket.com เป็นช่องทางอีคอมเมิร์ซให้ลูกค้าได้ช้อปปิ้งออนไลน์ ไม่ต้องมาที่สโตร์ ตอบรับพฤติกรรมยุคดิจิทัลที่ส่วนใหญ่อยู่บนโลกออนไลน์ การพัฒนา 2 แพลตฟอร์มนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการลงทุนด้านดิจิทัล ผลักดันสังคมไร้เงินสด ที่สำคัญคือได้ดาต้าของลูกค้าจากการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคลั่น สามารถมาต่อยอดทำอย่างอื่นได้ พิศิษฐ์ ภูสนาคม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วิลล่า มาร์เก็ต เจพี จำกัด กล่าวว่า “การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นอยาคตของวงการค้าปลีก ต้องมีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่จะอยู่รอด แต่จะเติบโตอย่างยั่งยืน การลงทุนครั้งนี้เป็นการเชื่อมต่อทั้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ และออฟไลน์ด้วยแอพพลิเคชั่น ลดการใช้เงินสด และได้ข้อมูลของลูกค้าด้วย” SCB ปรับตัวสู่ Platform Provider Villa Market ได้มีพาร์ทเนอร์คนสำคัญอย่าง SCB ในการช่วยพัฒนาแพลตฟอร์ม รวมถึง Payment Gateway จะเห็นได้ว่าจุดยืนของธนาคารเริ่มเปลี่ยนไปในมิติอื่นๆ มากขึ้น ไม่ใช่แค่บริการธุรกรรมทางการเงิน วศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Corporate Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจของ SCB ในกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในวันนี้ เป็นการมองเห็นโอกาสที่ทางธนาคารจะเข้าไปต่อยอดอะไรได้บ้าง ซึ่งตั้งแต่นี้ธนาคารจะไม่ได้จำกัดเฉพาะการสนับสนุนด้านสินเชื่อ และบริการธุรกรรมทางการเงินอย่างเดียว แต่วางตัวเป็น Platform Provider พัฒนาแพลตฟอร์มให้พาร์ทเนอร์” การเปิดตัว 2 แพลตฟอร์มในครั้งนี้ถือเป็นแค่เฟสแรกเท่านั้น Villa Market มีแผนในเฟสอื่นๆ ต่อไปอีก โดยในเฟส 2 ตั้งในพัฒนาเรื่องประสบการณ์ในการใช้งานให้ดีขึ้น อย่างเรื่องโลจิสติกส์ ปัจจุบันมีลูกค้าที่ใช้งาน VPlus Wallet แล้ว 20,000 ราน และซื้อสินค้าผ่านช้อปออนไลน์ 50,000 ราย ตั้งเป้ามีผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่น 100,000 รายในปีนี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้รายได้รวมโต 10% สรุป ตอนนี้ทุกวงการต้องลงมาจับตลาดดิจิทัลกันถ้วนหน้า รีเทลเองก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแพลตฟอร์มดิจิทัลรองรับ เพราะตอนนี้มีพฤติกรรมช้อปออนไลน์เข้ามามีบทบาทสูง การที่ Villa Market ขยับตัวครั้งนี้แม้จะช้ากว่ารายอื่นๆ แต่ก็ถือว่ายังทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่ จะช่วยให้เติบโตได้อีก ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related มอง 5 ประเด็นสำคัญ ทำไม “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้าลงทุนใน Grab มูลค่า 6,340 ล้านบาท In "News" มองยุทธศาสตร์ “เซ็นทรัล” จากค้าปลีก มุ่งสู่ Tech Company ในอนาคต In "News" Watsons ลุยแพลตฟอร์ม O+O ผนึกออฟไลน์/ออนไลน์ สู้ศึกบิวตี้สโตร์ In "News"
Villa Market วางกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยดิจิทัล ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. พัฒนา e-Wallet: - VPlus Wallet: เป็นแอปพลิเคชั่น e-Wallet ที่ลูกค้าสามารถเติมเงินและใช้ชำระค่าสินค้าแทนเงินสดภายในซูเปอร์มาร์เก็ต Villa Market จุดเด่น: - Loyalty Program: สะสมแต้มแลกของรางวัล เพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ - เชื่อมต่อข้อมูล: เก็บข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้า นำมาวิเคราะห์พฤติกรรมและพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ - ลดการใช้เงินสด: สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด 2. พัฒนาเว็บไซต์ช้อปออนไลน์: - shoponline.villamarket.com: ช่องทางการช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่หน้าร้าน จุดเด่น: - สะดวก รวดเร็ว: ช้อปสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต - หลากหลาย: สินค้ามีให้เลือกมากกว่าในหน้าร้าน - โปรโมชั่น: เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษเฉพาะช่องทางออนไลน์ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: - รักษาฐานลูกค้าเดิม: ลูกค้าสามารถใช้บริการ Villa Market ได้สะดวก รวดเร็ว และหลากหลายช่องทางมากขึ้น - ขยายฐานลูกค้าใหม่: เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งออนไลน์ - เพิ่มยอดขาย: เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า เนื่องจากมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย - ปรับตัวให้ทันกับยุคสมัย: Villa Market สามารถปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เน้นการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ Villa Market ยังมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในเฟสต่อไปอีก ดังนี้ - เฟส 2: พัฒนาเรื่องประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น เช่น พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้รวดเร็วขึ้น - เป้าหมาย: มีผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่น VPlus Wallet 100,000 ราย และเพิ่มยอดขายรวม 10% ในปีนี้ โดยสรุป Villa Market มองเห็นโอกาสและความสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของ Villa Market ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56583
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับมันได้
null
เสียงเพรียกจากอดีต ณ ใจกลางเมืองใหญ่ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ชื่อ "อดีต" กำลังเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย ร้านค้าทยอยปิดตัว เหลือเพียงร้านร้างที่เต็มไปด้วยฝุ่น ผู้คนไม่ค่อยมาเยือน บรรยากาศเงียบเหงา ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ณ มุมหนึ่งของห้าง ชายชราผมขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก สายตาจับจ้องไปที่พื้น เขากำลังจมดิ่งกับความทรงจำในอดีต ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่ห้าง "อดีต" ยังรุ่งเรือง เต็มไปด้วยผู้คน เสียงหัวเราะ และความคึกคัก ชายชราคนนี้มีชื่อว่า "คุณลุงอดีต" อดีตพนักงานขายของเล่นในห้าง เขาทำงานที่นี่มายาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ "อดีต" เขารู้จักทุกซอกทุกมุม รู้จักร้านค้าทุกแห่ง รู้จักพนักงานทุกคน รู้จักลูกค้าทุกคน คุณลุงอดีตเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของห้าง "อดีต" มาโดยตลอด เขาเห็นร้านค้าเก่าแก่ทยอยปิดตัว เห็นห้างถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบ เห็นผู้คนหันไปช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น เขาพยายามทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ เขาคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ คิดถึงร้านค้าเก่าๆ คิดถึงพนักงานเก่าๆ คิดถึงลูกค้าเก่าๆ อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหญิงคนหนึ่งเดินผ่านหน้าร้านของคุณลุงอดีต เด็กหญิงมองดูของเล่นเก่าๆ ที่วางเรียงอยู่บนชั้นด้วยความสนใจ คุณลุงอดีตยิ้มให้เด็กหญิงและชวนเธอคุย เด็กหญิงเล่าให้คุณลุงอดีตฟังว่าเธอชอบเล่นของเล่นโบราณมากกว่าของเล่นสมัยใหม่ คุณลุงอดีตดีใจที่ได้เจอเด็กหญิง เขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับของเล่นโบราณให้เธอฟัง เด็กหญิงฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสดใส หลังจากวันนั้น เด็กหญิงก็มาเยี่ยมคุณลุงอดีตบ่อยๆ เธอมาเล่นของเล่น มาฟังเรื่องราว มาเรียนรู้เกี่ยวกับอดีต คุณลุงอดีตมีความสุขมาก เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เด็กหญิงคนนี้เปรียบเสมือน "เสียงเพรียกจากอดีต" เธอทำให้คุณลุงอดีตหวนนึกถึงอดีตอันแสนหวาน เธอทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า เธอทำให้เขารู้สึกมีพลัง คุณลุงอดีตเริ่มคิดหาวิธีฟื้นฟูห้าง "อดีต" เขาคิดจะเปิดร้านขายของเล่นโบราณ เขาคิดจะจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก เขาคิดจะสร้างพื้นที่สำหรับผู้คนมาพบปะสังสรรค์ เขาเชื่อว่า "อดีต" ยังมีเสน่ห์ ยังมีคุณค่า ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56584
Retail
การขยายธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Retail) ไปสู่ช่องทางออนไลน์ (e-Commerce) จะช่วยเพิ่ม doanh thu ให้กับธุรกิจเสมอหรือไม่?
null
ไม่เสมอไป เหตุผล คือ 1. พฤติกรรมผู้บริโภค -ลูกค้าบางกลุ่มยังคงชอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบดั้งเดิม ต้องการสัมผัสสินค้าจริง เห็นสินค้าด้วยตาตัวเอง -สินค้าบางประเภท ลูกค้าต้องการคำแนะนำจากพนักงานขาย ต้องการลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ 2. ต้นทุน -การลงทุนใน e-Commerce นั้นสูง -มีค่าใช้จ่ายในการสร้างเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่งสินค้า การโฆษณา -ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่มีเงินทุนเพียงพอ 3. การแข่งขัน -ตลาด e-Commerce มีการแข่งขันสูง -มีผู้เล่นรายใหญ่ที่มีฐานลูกค้ากว้างขวาง -ธุรกิจขนาดเล็กอาจสู้ไม่ได้ 4. กลยุทธ์ -การทำ e-Commerce จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน -ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ -ต้องเลือกช่องทางการขายออนไลน์ที่เหมาะสม -ต้องมีแผนการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ 5. สินค้า -สินค้าบางประเภทไม่เหมาะกับการขายออนไลน์ -สินค้าที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก -สินค้าที่ต้องประกอบติดตั้ง -สินค้าที่เน่าเสียง่าย ตัวอย่าง -ร้านขายเสื้อผ้า อาจจะขายดีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ -ร้านขายของชำ อาจจะขายดีออฟไลน์มากกว่าออนไลน์ -ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ อาจจะขายดีออฟไลน์มากกว่าออนไลน์ สรุป การขยายธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมไปสู่ช่องทางออนไลน์ (e-Commerce) มีโอกาส เพิ่มให้กับธุรกิจ แต่ไม่ใช่ สูตรสำเร็จสำหรับทุกธุรกิจ ปัจจัยสำคัญ 5 ประการ ที่ต้องพิจารณา -พฤติกรรมผู้บริโภค -ต้นทุน -การแข่งขัน -กลยุทธ์ -สินค้า
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56588
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลัก 3 ประการที่ The Mall Shopping Center ปรับใช้เพื่อรับมือกับ Retail ยุค 4.0? อธิบายกลยุทธ์แต่ละข้อว่ามีรายละเอียดอย่างไร และผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร
The Mall ปรับตัวรับรีเทลยุค 4.0 ปรับวิธีการสื่อสารต้อง Personalize อัดอีเวนต์เพื่อเพิ่มทราฟิก และต้องจับทุกกลุ่มลูกค้าให้อยู่หมัด คิดในสเกลแบบแมสไม่ได้แล้ว วิถีแมส สู่ One on One เรียนรู้ลูกค้าแต่ละบุคคล ในอดีตการทำศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้าเป็นการจับกลุ่มลูกค้าระดับกว้างมาก อาจะมีเพียงพื้นที่ขายสินค้า ร้านอาหาร ธนาคารเพื่อตอบโจทย์ในชีวิตประจำวัน แต่ในยุคปัจจุบันเข้าสู่ยุค Retail 4.0 ห้างค้าปลีกจะอยู่ในสไตล์เดิมๆ ไม่ได้ ต้องมีอะไรใหม่ๆ รับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความคาดหวังก็สูงขึ้นด้วย ทำให้ได้เห็นผู้เล่นค้าปลีกในไทยทยอยปรับตัวกันยกใหญ่ ทั้งปรับโฉมให้ทันสมัย ใส่แม็กเน็ตเพื่อดึงดูด รวมถึงปรับกลยุทธ์การตลาดที่ลดสเกลจากแมสมาเป็นเจาะระดับบุคคลมากขึ้น กลายเป็นทิศทางสำคัญของ The Mall Shopping Center ที่สื่อสารกับผู้บริโภคแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี และดิจิทัล ไม่ได้สื่อสารในระดับบแมสเหมือนแต่ก่อน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละบุคคล วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ กล่าวว่า “โจทย์ทางการตลาดของ The Mall มีความเข้มข้นขึ้น ต้องการให้ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่ที่ศูนย์นานขึ้น มาบ่อยขึ้น เหมือนมาใช้ชีวิต การสื่อสารการตลาดได้เปลี่ยนจากแมสมาเป็นระดับ One on One ได้ศึกษาข้อมูลลูกค้าแต่ละคน และเสนอสิทธิพิเศษให้แต่ละคนต่างกันตามความชอบ ไม่เหมือนแต่เดิมที่เป็นโปรโมชั่นเดียวกันหมด” ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล การสื่อสารหลักจะเน้นผ่านช่องทางดิจิทัล เพราะผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บนโลกดิจิทัลมากขึ้น โดยที่ The Mall ได้ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า เก็บจากดาต้าในการใช้บริการของแต่ละคนว่าชอบซื้ออะไร ค้นหาอะไร เพื่อที่จะได้เสนอสิทธิประโยชน์ได้ตรงจุดมากขึ้น “The Mall ได้เริ่มสื่อสารแบบ One on One เข้มข้นเมื่อปีที่ผ่านมา มีการจับมือกับพันธมิตรทั้งเมเจอร์ เอสเอฟ หรือแมคโดนัลด์ในการเสนอ offer ให้ลูกค้าแต่ะคน จากแต่เดิมเป็นในรูปแบบซื้อสินค้าครบจำนวนเท่าไหร่ แล้วได้ของที่ระลึก ตอนนี้ก็เริ่มเจาะจงแบรนด์ได้มากขึ้น” ผลตอบรับหหลังจากที่ The Mall ปรับกลยุทธ์ทำให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในศูนย์นานขึ้น จากแต่ก่อนซ้ำสินค้าแค่ 4 แผนก ก็เป็นซื้อ 5 แผนก หรือจากเดิมซื้อของแค่ในศูนย์การค้า ก็มาซื้อในกูร์เมต์ มาร์เก็ตด้วย เป็นการสร้าาง Journey ใหม่ให้ลูกค้า อีกทั้งยังส่งผลดีกับ The Mall เองด้วย สรุป รีเทลยุคนี้ต้องเอาใจผู้บริโภคแบบสุดฤทธิ์ จะนำเสนออะไรแบบเดิมๆ ไม่ได้ ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงนำเสนออะไรที่เป็น Personalize ตามความต้องการของแต่ละบุคคลด้วย ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related A&W รุกฟอร์แมตเล็ก เปิด Express รับพฤติกรรมผู้บริโภคแบบ Grab&Go In "News" Big Move “ห้างเซ็นทรัล” ปรับโฉมเสริมไลฟ์สไตล์ ไม่ได้แค่มาช้อปอย่างเดียว In "News" เดอะมอลล์ วาง 5 กลยุทธ์ สร้างห้างแห่งความสุข ทุกคนมาเดินได้โดยไม่ต้องแต่งเติม In "News"
The Mall Shopping Center ปรับใช้กลยุทธ์หลัก 3 ประการ ดังนี้: 1. การสื่อสารแบบ One-on-One: รายละเอียด: - เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารจากแบบ Mass สู่แบบ Personalized มากขึ้น โดยใช้ข้อมูลลูกค้าที่รวบรวมจากระบบสมาชิกและการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน วิเคราะห์ว่าลูกค้าแต่ละคนชอบอะไร ซื้ออะไร ค้นหาอะไร นำข้อมูลเหล่านี้มาเสนอโปรโมชั่น สิทธิพิเศษ กิจกรรม และสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล ผลลัพธ์: - ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจ พึงพอใจ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ The Mall มากขึ้น - ลูกค้าใช้จ่ายต่อครั้งเพิ่มขึ้น - ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในศูนย์การค้า The Mall นานขึ้น - ลูกค้าบอกต่อและดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามา 2. การใช้เทคโนโลยีและดิจิทัล: รายละเอียด: - พัฒนาแอปพลิเคชั่น The Mall เพื่อให้ลูกค้าสามารถเช็คโปรโมชั่น ค้นหาสินค้า วางแผนการช้อปปิ้ง สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ชำระเงินผ่านแอปฯ และอื่นๆ - นำเทคโนโลยี AR มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบเสมือนจริง - ใช้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการช้อปปิ้ง และเทรนด์ต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ผลลัพธ์: - ลูกค้าสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการช้อปปิ้ง - เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง - เข้าใจลูกค้าและตลาดได้ดียิ่งขึ้น - เพิ่มโอกาสในการขายและสร้างรายได้ 3. การสร้างประสบการณ์ใหม่และความหลากหลาย: รายละเอียด: - ปรับโฉมห้างให้ทันสมัย ดึงดูดและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกเพศทุกวัย - จัดกิจกรรมพิเศษ อีเวนต์ และเวิร์คช็อปต่างๆ อยู่เสมอ - นำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่หลากหลาย - ร่วมมือกับแบรนด์ดังและอินฟลูเอนเซอร์ - สร้างพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ทำงาน และพบปะสังสรรค์ ผลลัพธ์: - ดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการที่ The Mall มากขึ้น - สร้างบรรยากาศคึกคัก น่าสนใจ - เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการ - สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ The Mall โดยสรุป The Mall Shopping Center ปรับตัวรับมือกับ Retail ยุค 4.0 โดยมุ่งเน้นไปที่การสื่อสารแบบ One-on-One การใช้เทคโนโลยีและดิจิทัล และการสร้างประสบการณ์ใหม่และความหลากหลาย กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ The Mall เข้าใจลูกค้า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในยุคดิจิทัล
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56596
Retail
การยุบตำแหน่งผู้จัดการแผนกสินค้าของ Walmart แล้วใช้AI แทน จะช่วยลดต้นทุนของ Walmart ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่?
null
ได้ ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายประการ ดังนี้: 1. ประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ AI: - หุ่นยนต์ AI มีความแม่นยำและรวดเร็วในการจัดการสต๊อกสินค้า - หุ่นยนต์ AI ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องพัก - หุ่นยนต์ AI ไม่จำเป็นต้องได้รับค่าแรง สวัสดิการ หรือโบนัส 2. ต้นทุนในการติดตั้งและดูแลรักษาหุ่นยนต์ AI: - หุ่นยนต์ AI มีราคาสูง จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถใช้งานหุ่นยนต์ AI ได้ - จำเป็นต้องมีช่างเทคนิคคอยดูแลและซ่อมแซมหนยนต์ AI 3. ผลกระทบต่อพนักงาน: - พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคงในงาน - พนักงานอาจรู้สึกต่อต้านการเปลี่ยนแปลง - พนักงานอาจต้องเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อทำงานกับหุ่นยนต์ AI 4. ผลกระทบต่อลูกค้า: - ลูกค้าบางกลุ่มอาจรู้สึกไม่สะดวกใจเมื่อไม่มีพนักงานมาคอยให้บริการ - ลูกค้าบางกลุ่มอาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของหุ่นยนต์ AI 5. กฎหมายและข้อบังคับ: - จำเป็นต้องมีการศึกษาและทบทวนกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานหุ่นยนต์ AI ตัวอย่าง: - หากหุ่นยนต์ AI มีประสิทธิภาพสูง ต้นทุนในการติดตั้งและดูแลรักษาไม่สูง และลูกค้าไม่รังเกียจ การยุบตำแหน่งผู้จัดการแผนกสินค้าจะช่วยลดต้นทุนของ Walmart ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - แต่หากหุ่นยนต์ AI มีประสิทธิภาพไม่สูง ต้นทุนในการติดตั้งและดูแลรักษาสูง และลูกค้ารังเกียจ การยุบตำแหน่งผู้จัดการแผนกสินค้าอาจจะไม่ช่วยลดต้นทุนของ Walmart หรืออาจจะเพิ่มต้นทุน สรุป: การยุบตำแหน่งผู้จัดการแผนกสินค้าของ Walmart มีโอกาส ช่วยลดต้นทุน แต่ จำเป็นต้องพิจารณา ปัจจัย หลายประการ ปัจจัยสำคัญ 5 ประการ: 1. ประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ AI 2. ต้นทุนในการติดตั้งและดูแลรักษาหุ่นยนต์ AI 3. ผลกระทบต่อพนักงาน 4. ผลกระทบต่อลูกค้า 5. กฎหมายและข้อบังคับ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56608
Retail
อะไรคือสาเหตุหลักที่ Sam's Club ตัดสินใจปิดสาขา 63 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกาอย่างกะทันหัน และส่งผลกระทบต่อพนักงานและลูกค้าอย่างไร?
วงการค้าปลีกประเดิมต้นปี 2018 ด้วยข่าว Walmart ประกาศปิดเชนร้าน Sam’s Club กว่า 63 แห่งทั่วประเทศอย่างกะทันหัน พนักงานตกงานไม่รู้ตัว ลูกค้าบางคนบอก “เห็นพนักงานออกมายืนร้องไห้ตรงลานจอดรถ” ปิดกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว กระทบพนักงานนับหมื่นคน Sam’s Club เชนร้านค้าปลีก-ค้าส่งของ Walmart ประกาศปิดตัวอย่างกะทันหัน 63 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้พนักงานส่วนใหญ่ตกงานอย่างไม่รู้ตัวมาก่อน เพราะไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้ามาก่อน จากการคำนวณ ในแต่ละสาขาจะมีพนักงานประมาณ 175 คน เพราะฉะนั้นการปิดตัวอย่างกะทันหัน 63 แห่งในครั้งนี้ จะกระทบพนักงานอย่างน้อย 11,025 คน จากการคำนวณ ในแต่ละสาขาจะมีพนักงานประมาณ 175 คน เพราะฉะนั้นการปิดตัวอย่างกะทันหัน 63 แห่งในครั้งนี้ จะกระทบพนักงานอย่างน้อย 11,025 คน ขณะนี้ Sam’s Club จะทยอยปิดสาขาไปเรื่อยๆ ให้ครบ 63 แห่งที่ตั้งเป้าไว้ เชื่อว่าจะใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าจะเสร็จสิ้น นอกจากนั้น Walmart ยังได้ประกาศอย่างเป็นทางการด้วยว่า เงินรายปีที่สมาชิกจะต้องจ่ายราว 45 ดอลลาร์ต่อปี (เป็นกฎของ Sam’s Club ที่ลูกค้าต้องสมัครเป็นสมาชิก หากเข้ามาใช้บริการและซื้อของในร้าน) จะทำการคืนให้กับสมาชิกทุกคนภายหลังการทยอยปิดสาขา ไม่บอกล่วงหน้า ไม่บอกตรงๆ บางรายก็ส่ง FedEx ไปบอก พนักงานรายหนึ่งชื่อ Nic Townsend โดยให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้รับจดหมายลาออกจากพนักงานส่งของทาง FedEx ตอนแรกคิดว่าเป็นใบกำกับภาษี แต่เมื่อเปิดดูเป็นใบแจ้งว่า Sam’s Club จะทำการปิดตัว “ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าจะทำตัวอย่างไร เพราะมีลูก มีแม่ที่ป่วยทางจิต ฉันรู้สึกหลงทาง ใจสลาย และกลัวเอามากๆ” นักช้อปบางคนที่ไปซื้อของที่ Sam’s Club ในวันที่บริษัทประกาศปิดตัวให้สัมภาษณ์ไว้เช่นเดียวกันว่า “ฉันเห็นพนักงานหลายคนออกมายืนร้องไห้ตรงลานจอดรถ” มากกว่านั้น เมื่อประกาศปิดสาขาก็ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าทั้งพนักงานและลูกค้าอย่างเป็นทางการ ทำให้หลายคนไม่รู้ และเมื่อเดินทางไปที่สาขา ปรากฏว่าปิดทำการ ทำให้เกิดความวุ่นวายและไม่พอใจของลูกค้าหลายคน ปิดของเดิม เพื่อเปิดของใหม่ ศูนย์กระจายสินค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซ John Furner ซีอีโอของ Sam’s Club ส่ง Email หาพนักงานภายในวันปิดทำการอย่างกะทันหันว่า “การเติบโตของร้านไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราจะทำการปิดสาขาบางแห่ง และจะส่ง Email หาพนักงานทุกคน และจะปรับบางสาขให้มาเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซ และจะขายผ่าน SamsClub.com” ชัดเจนว่า การปิดสาขากว่า 63 แห่งของ Sam’s Club สะท้อนภาพวงการค้าปลีก(แบบเดิม)ในสหรัฐอเมริกาที่ถดถอยอย่างหนัก และเมื่ออยู่แบบเดิมไม่ได้ ก็จำเป็นต้องโกออนไลน์เพื่ออยู่รอด ที่มา – Business Insider ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ล่มสลายต่อเนื่อง ค้าปลีกระดับโลกทยอยปิดสาขา ผ่านมา 3 เดือนแรกตกงานหลักหมื่น In "Article" ค้าปลีกดิ้นสู้ Walmart สั่งยุบผู้จัดการแผนก แล้วให้ไปทำงานตำแหน่งอื่นแทน In "News" ภาคต่อยื่นขอล้มละลาย ร้านของเล่น Toys “R” Us เตรียมปิด 200 สาขา คนตกงานนับครึ่งหมื่น In "News"
Sam's Club ตัดสินใจปิดสาขา 63 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกาอย่างกะทันหัน เนื่องจาก สาเหตุหลัก 2 ประการ ดังนี้: 1. การเติบโตของร้านไม่เป็นไปตามที่คาดไว้: Sam's Club เผชิญกับปัญหาการเติบโตของยอดขายที่ชะลอตัวลง สาขาหลายแห่งขาดทุนต่อเนื่อง ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น Amazon พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ผู้คนนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น 2. กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: Sam's Club ต้องการปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัล มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (SamsClub.com) มากขึ้น เปลี่ยนบางสาขาให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซ การปิดสาขาแบบดั้งเดิมบางแห่ง ช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุน และมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีศักยภาพเติบโตสูง ผลกระทบต่อพนักงาน: พนักงาน Sam's Club กว่า 11,025 คน ตกงานกะทันหัน พนักงานหลายคนไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า พนักงานจำนวนมากรู้สึกเสียใจ โกรธ และกังวลเกี่ยวกับอนาคต Sam's Club เสนอเงินชดเชยและบริการหางานให้กับพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ผลกระทบต่อลูกค้า: ลูกค้า Sam's Club หลายคนรู้สึกผิดหวังกับการปิดสาขา ลูกค้าบางคนต้องเดินทางไกลไปยังสาขาอื่น ลูกค้าบางคนกังวลว่าจะได้รับบริการที่ลดลง Sam's Club เสนอให้ลูกค้าสมัครสมาชิกออนไลน์เพื่อรับสิทธิพิเศษและโปรโมชั่น โดยสรุป การปิดสาขา Sam's Club 63 แห่ง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเผชิญอยู่ในยุคดิจิทัล Sam's Club จำเป็นต้องปรับตัวและเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การปิดสาขาแบบดั้งเดิม ส่งผลกระทบต่อพนักงานและลูกค้า แต่ Sam's Club ก็พยายามหาวิธีบรรเทาผลกระทบเหล่านี้ การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการพลิกโฉมธุรกิจ Sam's Club สู่ยุคดิจิทัล remains to be seen ว่ากลยุทธ์ใหม่นี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56614
Retail
7Fresh จะสามารถเอาชนะ Hema ในตลาดค้าปลีกแบบ Omni-Channel ของประเทศจีนได้หรือไม่?
null
เป็นไปได้ เหตุผล คือ 1. กลยุทธ์ Omni-Channel ที่แข็งแกร่ง -7Fresh มีจุดแข็งด้านเทคโนโลยี เช่น หน้าจอแสดงข้อมูลสินค้า รถเข็นอัตโนมัติ และระบบชำระเงินผ่าน Mobile Application ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกสบาย -7Fresh มีระบบคลังสินค้าที่เชื่อมต่อกับ JD.com ช่วยให้สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว -7Fresh มีร้านอาหารและส่วนนำเข้าสินค้าสดจากต่างประเทศ ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ 2. พันธมิตรที่แข็งแกร่ง -7Fresh เป็นพันธมิตรกับ Wal-Mart ช่วยให้สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่และเครือข่ายคลังสินค้า -JD.com มีฐานลูกค้าออนไลน์ที่แข็งแกร่ง ช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาลองใช้บริการ 7Fresh 3. ช่องทางการเข้าถึงลูกค้าที่หลากหลาย 7Fresh มีทั้งหน้าร้านออฟไลน์ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้หลายช่องทาง 4. เทรนด์ตลาด -ผู้บริโภคชาวจีนมีความต้องการสินค้าระดับพรีเมียมมากขึ้น 7Fresh ตอบโจทย์ความต้องการนี้ด้วยสินค้าคุณภาพสูง -ผู้บริโภคชาวจีนนิยมใช้บริการ Omni-Channel 7Fresh ตอบโจทย์เทรนด์นี้ อย่างไรก็ตาม 7Fresh ยังมีอุปสรรคบางประการ เช่น -7Fresh เป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดค้าปลีกออฟไลน์ ต้องการเวลาสร้างแบรนด์และฐานลูกค้า -7Fresh มีจำนวนสาขาน้อยกว่า Hema -7Fresh มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง โดยสรุป 7Fresh มีศักยภาพที่จะเอาชนะ Hema ในตลาดค้าปลีกแบบ Omni-Channel ของประเทศจีน แต่ต้องอาศัยเวลา กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด และการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม -กลยุทธ์การตั้งราคาของ 7Fresh -กลยุทธ์การตลาดของ 7Fresh -การตอบสนองของ Hema ต่อกลยุทธ์ของ 7Fresh -สภาพเศรษฐกิจของประเทศจีน การวิเคราะห์ การแข่งขันในตลาดค้าปลีกแบบ Omni-Channel ของประเทศจีนจะทวีความรุนแรงขึ้น 7Fresh และ Hema ต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ผู้เล่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีที่สุด จะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56622
Retail
5 เทรนด์เทคโนโลยีปี 2018 มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
null
1.ยุคแห่งการพิมพ์ใกล้จบลง ยุคต่อไปคือการสั่งงานด้วยเสียง: เทคโนโลยี VPA (Voice Personal Assistant) เช่น Alexa, Google Assistant, Bixby หรือ Siri พัฒนาจนมีความสามารถสูงขึ้น กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ คาดการณ์ว่าในปี 2020 ทุกบ้านจะมีอุปกรณ์ VPA เฉลี่ยอย่างน้อย 2 ตัวต่อหนึ่งครอบครัว 2.การสื่อสารรูปแบบใหม่ มนุษย์กับหุ่นยนต์: Chatbot เป็นรูปแบบการตอบโต้ของหุ่นยนต์กับมนุษย์ พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ช่วยให้สามารถให้ข้อมูลได้ตรงจุดกับมนุษย์มากขึ้น เหมาะสำหรับการตอบคำถามเชิงข้อมูล แต่ Chatbot ยังมีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถคุยเรื่องอารมณ์และประสบการณ์ของลูกค้าได้ 3.สกุลเงินดิจิทัลมาแน่: สกุลเงินดิจิทัลหรือ Cryptocurrency กำลังได้รับความนิยม ตัวอย่างเช่น Bitcoin ญี่ปุ่นประกาศให้ค่าเงินเยนผูกกับ Bitcoin 4.เทคโนโลยีสร้างภาพจำลองเสมือนจริง: เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) พัฒนาจนสามารถสร้างเรื่องราวเสมือนจริงที่แยกแยะจากเหตุการณ์จริงได้ยาก 5.95% ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตขึ้นในยุคหน้าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) จะถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลแบบเรียลไทม์ ตัวอย่าง Smart Home อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจาก Digital Transformation -Retail: ค้าปลีกจำเป็นต้องอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ พัฒนา Visual Search -Regulator: ภาครัฐต้องปรับตัว ออกกฎ หรือร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ -Media: ตรวจสอบข้อมูลเข้มข้น คอนเทนต์ดีมีคุณภาพจะราคาแพง -Service: ข้อมูลเบื้องต้นใช้ Chatbot แต่มนุษย์ยังจำเป็นในแง่ประสบการณ์ -Manufacturing และ Real Estate: ใช้ IoT ลดต้นทุน แนวทางปรับตัวในยุค Digital Transformation -ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์: การทำ Digital Transformation ไม่ใช่เรื่องรอง แต่ต้องเป็นเรื่องหลัก -Speed และ Impact: องค์กรต้องทำงานเร็ว มีผลลัพธ์ -G-ABLE เสนอ 3 รูปแบบในการช่วยเหลือ: -Accelerator: ทำงานเร็ว Outsource ด้านไอที -Digital Builder: สร้างระบบใหม่ -Digital Partnership: ลงทุนร่วมกัน Co-Creation หรือ Co-Investment
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56631
Retail
สรุปบทความเรื่อง Amazon เตรียมเข้าสู่ตลาดการขายยารักษาโรคออนไลน์ใ ห้หน่อย
NBC รายงานว่า Amazon เตรียมเข้าสู่ตลาดการขายยารักษาโรคออนไลน์ ซึ่งทางบริษัทได้ทำการวิจัยมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และทางบริษัทจะตัดสินใจเข้าสู่ตลาดก่อนช่วงวันขอบคุณพระเจ้าในปีนี้ จากรายงานกล่าวว่า Amazon ได้วิจัยด้านงานขายยารักษาโรคมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว โดยเหตุผลที่ทางบริษัทอยากจะเข้าสู่ตลาดยาเนื่องจากโอกาสในการขายยาออนไลน์นั้นน่าดึงดูดใจมาก ซึ่งนักวิเคราะห์คาดกันว่าปัจจุบันตลาดยาของสหรัฐฯ นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 560,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในช่วงปีที่ผ่านมา Amazon ได้เริ่มจ้างงานและขอคำปรึกษาด้านตลาดยารักษาโรคเกี่ยวกับโอกาสในการเข้าสู่ตลาด โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้เริ่มหาผู้จัดการทั่วไปที่ดูแลด้านการเข้าสู่ตลาดยารักษาโรค ทั้งนี้ เมื่อรายงานข่าวดังกล่าว หุ้นเชนค้าปลีกยารักษาโรคในอเมริกาก็ร่วงลงทันที โดย Walgreens Boots ลดลง 5.8%, CVS Health 4.9% และ Rite Aid ลดลง 4.9% ที่มา – Reuters, CNBC ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Amazon คุยกับบริษัทผลิตยารักษาโรคในสหรัฐฯ ตอกย้ำแผนเข้าสู่ตลาดยารักษาโรค In "Article" เจ้าของ Air-X ทุ่ม 50 ล้านบาท โปรโมตยารักษากรดไหลย้อน One Gerd หวัง 5 ปี ยอดขายแตะ 100 ล้านบาท In "News" จีนปรับกฎการขึ้นทะเบียนยาใหม่ ลดขั้นตอนการอนุมัติ และทำให้กระบวนการเร็วขึ้น In "Article"
CNBC รายงานว่า Amazon เตรียมเข้าสู่ตลาดการขายยารักษาโรคออนไลน์ หลังวิจัยมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากโอกาสในการขายยาออนไลน์นั้นน่าดึงดูดใจ โดยในช่วงปีที่ผ่านมา Amazon ได้เริ่มจ้างงานและขอคำปรึกษาด้านตลาดยารักษาโรคเกี่ยวกับโอกาสในการเข้าสู่ตลาด และได้เริ่มหาผู้จัดการทั่วไปที่ดูแลด้านการเข้าสู่ตลาดยารักษาโรค ซึ่งจะเข้าสู่ตลาดก่อนช่วงวันขอบคุณพระเจ้า
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56636
Retail
Uniqlo เผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในการผลิต ทำไมจึงตัดสินใจใช้แรงงานจีน และมีวิธีการจัดการกับปัญหาคุณภาพของสินค้าที่อาจเกิดขึ้นอย่างไร?
แบรนด์ค้าปลีกเสื้อผ้าอย่าง Uniqlo เจอปัญหาในการผลิตเข้าเสียแล้ว เมื่อแรงงานคุณภาพมีฝีมือในประเทศตัวเองมีไม่พอ จึงต้องขอแรงจากประเทศจีน หลายคนอาจรู้สึกไม่มั่นใจ แต่ Uniqlo ย้ำว่า “แรงงานจีนมีคุณภาพแล้ว” เมื่อ Uniqlo มีแรงงานฝีมือดีไม่พอ หลังจากปี 2000 เป็นต้นมา Uniqlo แบรนด์ค้าปลีกเสื้อผ้าญี่ปุ่น ได้ประกาศสโลแกนธุรกิจของตัวเองที่ว่า “จะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าคุณภาพ แต่ราคาถูก” แต่ลำพังการจะทำเช่นนั้นได้ ต้องใช้มีทีมช่างเย็บผ้าฝีมือดี รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุเพื่อควบคุมคุณภาพ แต่สังคมญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทุกวัน จะเอาแรงงานคนที่ไหน? เพราะสิ่งที่ต้องจับตามองคือ ตราบเท่าที่ Uniqlo ยังไม่มีเทคโนโลยีมาทดแทนในส่วนการผลิต แรงงานคนจะยังถือเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากของธุรกิจ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เราได้เห็นแผนการนำ AI เข้ามาใช้ในธุรกิจของ Uniqlo แต่นั่นเป็นการนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางการตลาดเท่านั้น ยังไม่มีแผนการนำ AI มาใช้ในการผลิตแต่อย่างใด คำตอบของเรื่องนี้คือ “แรงงานจีน” ในมณฑลเซียงจู ประเทศจีน เป็นพื้นที่ที่ Uniqlo เลือกเข้าไปใช้แรงงานที่นั่น เพราะว่าเป็นมณฑลที่เลื่องชื่อเรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้า ว่ากันว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากอาณาจักรอู๋ในอดีต Kazuaki Iida หัวหน้าผู้ดูแลทีมงานช่างฝ่ายผลิต บอกว่า “เราต้องฝึกหัดให้พนักงาน (แรงงานจีน) มีทักษะการผลิตเสื้อผ้าที่มีคุณภาพ เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้เวลา เพื่อฝึกฝนพวกเขา” ส่วนหนึ่งก็เพื่อลบภาพในอดีตที่ว่า จีนเป็นประเทศที่มีแรงงานไร้คุณภาพ หรือลากไปการใช้โรงงานและวัสดุที่ไม่มีคุณภาพ เพราะในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มาตรฐานสำหรับโรงงานในจีนได้รับการเข้มงวดกวดขันขึ้นกว่าในอดีตมาก “ตอนนี้แรงงานจีนมีความรู้มากขึ้นแล้ว แต่เรา (Uniqlo) ก็ยังจะมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของแรงงานให้ทำงานได้ดีขึ้นอีก” Uniqlo เน้นการจ้างงานคนหนุ่นสาวในจีนเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียน-นักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เพราะนำไปฝึกทักษะฝีมือได้ง่าย ก็ไม่แน่ว่านับจากนี้และในอนาคต แบรนด์ Uniqlo อาจจะต้องพึ่งพาแรงงานจีนในการผลิตต่อไปในระยะยาวก็เป็นได้ ที่มา – Nikkei Asian Review ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำคัญ! Fast Retailing เร่งเครื่องโรงงานในเวียดนามผลิตเสื้อผ้า Uniqlo In "News" ศุลกากรสหรัฐอเมริกา สกัดนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์ Uniqlo อาจใช้ฝ้ายจากซินเจียง In "Article" มาหาคำตอบกันว่า ทำไมคนไทยถึงชอบใส่เสื้อผ้าแบรนด์ ยูนิโคล่ (UNIQLO) In "News"
Uniqlo เผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในการผลิตเสื้อผ้า เนื่องจากสังคมญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้จำนวนแรงงานที่มีทักษะในการเย็บผ้าลดลง Uniqlo ตัดสินใจใช้แรงงานจีน ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ ดังนี้: 1. มณฑลเซียงจู ประเทศจีน มีชื่อเสียงด้านการตัดเย็บเสื้อผ้า: มณฑลนี้มีมรดกตกทอดมาจากอาณาจักรอู๋ในอดีต ส่งผลให้มีช่างฝีมือที่มีทักษะในการตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูง 2. มาตรฐานการผลิตในจีนพัฒนาขึ้น: ในปัจจุบัน โรงงานในจีนมีมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวดกวดขันมากขึ้น และแรงงานจีนมีความรู้และทักษะในการทำงานที่เพิ่มขึ้น Uniqlo มีวิธีการจัดการกับปัญหาคุณภาพของสินค้าที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้: 1. ฝึกอบรมแรงงานจีน: Uniqlo มีแผนการฝึกอบรมแรงงานจีนเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ในการผลิตเสื้อผ้าที่มีคุณภาพ 2. ควบคุมคุณภาพการผลิต: Uniqlo มีระบบควบคุมคุณภาพการผลิตที่เข้มงวด เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่ผลิตออกมาได้มาตรฐานตามที่กำหนด 3. จ้างงานคนหนุ่มสาว: Uniqlo เน้นการจ้างงานคนหนุ่มสาวในจีน เพราะสามารถฝึกฝนทักษะและความรู้ได้ง่าย นอกจากนี้ Uniqlo ยังมีแผนการใช้เทคโนโลยี AI ในการผลิต แต่ในปัจจุบันยังไม่มีแผนการใช้งานที่ชัดเจน โดยสรุป: Uniqlo มองเห็นโอกาสในการใช้แรงงานจีนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในประเทศญี่ปุ่น Uniqlo มั่นใจว่าแรงงานจีนในปัจจุบันมีทักษะและความรู้ที่เพียงพอที่จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของ Uniqlo อย่างไรก็ตาม Uniqlo จำเป็นต้องมีระบบการควบคุมคุณภาพการผลิตที่เข้มงวด เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่ผลิตออกมาได้มาตรฐานตามที่กำหนด
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56639
Retail
จงบอกความน่าสนใจเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง "การผนวกกลุ่มเซ็นทรัลและห้างหรูยุโรป: การส่ง AVDM เพื่อบริการซื้อของแบบ On Demand"
null
หัวข้อ : กลุ่มเซ็นทรัลผนึกห้างหรูยุโรปส่ง AVDM เว็บไซต์-แอปฯ พร้อมบริการซื้อของแบบ On Demand | Brand Inside หัวข้อนี้น่าสนใจมากเนื่องจากการผนวกกันระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นเครือข่ายห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย กับห้างหรูยุโรปที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การผนวกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นและสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค แต่ยังเป็นการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ในการซื้อของออนไลน์อย่างเป็นลำดับ เรื่อง AVDM (Anytime, Anywhere, Any Device, Any Content) หมายความว่าการเข้าถึงข้อมูลและบริการได้ทุกเวลา ทุกที่ ผ่านทุกอุปกรณ์ โดยที่ลูกค้าสามารถเรียกชมสินค้าและบริการได้ตามความต้องการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแม้กระทั่งผ่านระบบอัจฉริยะ เช่น การสั่งซื้อด้วยเสียง โดยห้างหรูยุโรปที่เข้าร่วมในแนวคิดนี้อาจมีคุณภาพสินค้าและบริการที่มีชื่อเสียง ทำให้กลายเป็นที่น่าสนใจอีกด้วย นอกจากนี้ การให้บริการซื้อของแบบ On Demand ยังตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคที่ต้องการความสะดวกสบายและความเร็วในการได้รับสินค้าด้วยการจัดส่งตรงถึงบ้าน ทั้งนี้การรวมกันของเซ็นทรัลและห้างหรูยุโรปอาจเป็นการเรียนรู้และการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านการซื้อของออนไลน์และการให้บริการลูกค้าในยุคดิจิทัล
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56640
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ในโลกธุรกิจ ศัตรูวันนี้ อาจกลายเป็นมิตรในวันพรุ่งนี้
null
ศัตรูหักเหลี่ยมโหด กลายเป็นมิตรรู้ใจ ณ ใจกลางเมืองชิคาโก บนถนนสายช้อปปิ้งที่คึกคัก ร้าน Kohl's ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่กำลังเผชิญวิกฤตยอดขายตกต่ำ ผู้คนแห่ไปช้อปปิ้งออนไลน์กับ Amazon คู่แข่งตัวฉกาจ ร้านค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ที่ส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว แมรี่ ผู้จัดการแผนกเสื้อผ้าสตรีของ Kohl's กำลังหงุดหงิดด้วยความกังวล ยอดขายเสื้อผ้าของเธอลดลงอย่างฮวบฮาบ แบรนด์ดัง ๆ หลายแบรนด์เริ่มถอนตัวออกจากห้าง เหลือเพียงสินค้าเก่า ๆ ที่ขายไม่ออก "เราต้องทำอะไรสักอย่าง!" แมรี่อุทานด้วยความร้อนรน "ไม่งั้น Kohl's ของเราคงต้องปิดตัวลงในไม่ช้า" พนักงานในแผนกต่างนิ่งอึ้ง ไร้คำตอบ ทุกคนต่างรู้ดีว่า Amazon กำลังกลืนกินธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม ทันใดนั้น ประตูห้องประชุมก็เปิดออก ชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เขาคือ จอห์น ตัวแทนจาก Amazon "สวัสดีครับ" จอห์นกล่าว "ผมมาที่นี่เพื่อเสนอทางออกให้กับ Kohl's" แมรี่มองจอห์นด้วยความสงสัย ปนความระแวง "คุณมีอะไรจะเสนอ?" "ผมขอเสนอให้ Kohl's จับมือกับ Amazon" จอห์นอธิบาย "เราจะเปิดพื้นที่ใน Kohl's ให้ Amazon ขายสินค้า Smart Home ของเรา เช่น ลำโพง Echo และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ" แมรี่ตกตะลึง "อะไรนะ? ให้ Amazon มาขายสินค้าใน Kohl's งั้นเหรอ? คุณบ้าไปแล้ว!" "ใจเย็น ๆ ครับ" จอห์นพูดต่อ "ลองคิดดูสิครับ Amazon มีสินค้า Smart Home ที่ดีที่สุดในตลาด การจับมือกับเราจะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับ Kohl's และช่วยเพิ่มยอดขายของคุณ" แมรี่ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลองเสี่ยงดู "ตกลงค่ะ ฉันยอมรับข้อเสนอของคุณ" หนึ่งเดือนต่อมา Shop-in-Shop ของ Amazon เปิดตัวใน Kohl's 10 สาขาแรก ผลตอบรับดีเกินคาด ลูกค้าแห่กันมาลองเล่นสินค้า Smart Home ของ Amazon บรรยากาศภายในห้าง Kohl's กลับมาคึกคักอีกครั้ง แมรี่รู้สึกโล่งใจ ยอดขายเสื้อผ้าของเธอเริ่มกลับมาดีขึ้น พนักงานในแผนกต่างยิ้มแย้มแจ่มใส "ฉันไม่คิดว่ามันจะได้ผล" แมรี่พูดกับจอห์น "ขอบคุณสำหรับข้อเสนอของคุณ มันช่วย Kohl's ของเราไว้ได้" จอห์นยิ้ม "ผมก็ดีใจที่ได้ช่วยครับ การจับมือกันครั้งนี้ เป็นการ Win-Win ทั้งสองฝ่าย" บทสรุป Kohl's และ Amazon สองยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีก ตัดสินใจละทิ้งอคติ หันมาจับมือกันเป็นพันธมิตร ผลลัพธ์ที่ได้คือ Win-Win ทั้งสองฝ่าย Kohl's กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง Amazon ก็ขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น เรื่องราวนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน ว่าการแข่งขันแบบดั้งเดิมอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด การจับมือกับคู่แข่งอาจเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56641
Retail
สรุปบทความเรื่อง Amazon เตรียมหาพื้นที่ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งที่สอง ให้หน่อย
สำนักงานแห่งใหม่ของ Amazon นี้คาดว่าน่าจะขนาดเหมือนกันหรือใหญ่กว่าสำนักงานใหญ่ปัจจุบัน ซึ่งมีพนักงานกว่า 4 หมื่นคน มีพื้นที่ 8.1 ล้านตารางฟุต มีอาคาร 33 แห่ง และร้านอาหาร 24 แห่ง โดยสำนักงานใหญ่แห่งที่สอง Amazon วางแผนจะลงทุนถึง 5 พันล้านดอลลาร์ และจ้างงานถึง 5 หมื่นคน สำหรับเมืองที่ Amazon จะไปตั้งสำนักงานใหญ่นั้น มีข้อกำหนดที่ Amazon วางไว้คือจะต้องมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน, มีสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและเป็นมิตรต่อการดำเนินธุรกิจ, เป็นพื้นที่ในย่านเมืองหรือชานเมืองที่มีศักยภาพในการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถด้านเทคนิค และมีชุมชนที่มีความคิดสร้างสรรค์ การหาพื้นที่ตั้งสำนักงานใหญ๋แห่งใหม่ในตอนนี้ยังอยู่ในขั้นแรกเท่านั้น ซึ่ง Amazon ได้เปิด Request for Propsal เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการโปรโมตพื้นที่ของตนเอง ซึ่งถ้าเมืองไหนได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งที่สองของ Amazon ก็จะมีรายได้เข้าเมืองมหาศาล เพราะเมือง Seattle ที่ Amazon ตั้งอยู่ปัจจุบันนั้น ในปี 2010-2016 บริษัทนำรายได้เข้ามาภายในเมืองได้ถึง 38,000 ล้านดอลลาร์
Amazon ประกาศแผนการค้นหาเมืองในอเมริกาเหนือ เพื่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่สอง วางแผนจะลงทุนถึง 5 พันล้านดอลลาร์ และจ้างงานถึง 5 หมื่นคน ข้อกำหนดสำหรับเมืองที่จะไปตั้งสำนักงานใหญ่ จะต้องมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน, มีสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและเป็นมิตรต่อการดำเนินธุรกิจ, เป็นพื้นที่ในย่านเมืองหรือชานเมืองที่มีศักยภาพในการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถด้านเทคนิค และมีชุมชนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่ง Amazon ได้เปิด Request for Propsal ให้รัฐบาลท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการโปรโมตพื้นที่ของตนเอง ซึ่งถ้าเมืองไหนได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งที่สองของ Amazon ก็จะมีรายได้เข้าเมืองมหาศาล เพราะบริษัทนำรายได้เข้ามาภายในเมืองได้มากมาย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56655
Retail
ห้างสรรพสินค้าจะยังคงอยู่ต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: - การปรับตัวของห้างสรรพสินค้า: แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากอีคอมเมิร์ซ แต่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งก็พยายามปรับตัวเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น การปรับปรุงพื้นที่ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น เน้นไปที่ประสบการณ์ที่ลูกค้าไม่สามารถหาได้จากการช้อปออนไลน์ เช่น การมีร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ สวนสนุก - จุดแข็งของห้างสรรพสินค้า: ห้างสรรพสินค้ายังมีจุดแข็งหลายประการ เช่น ทำเลที่ตั้งที่สะดวก สินค้าที่หลากหลาย บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการช้อปปิ้ง - การเติบโตของเศรษฐกิจ: คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และห้างสรรพสินค้าก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับการช้อปปิ้ง ตัวอย่าง: - ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในต่างประเทศ เช่น Macy's, Nordstrom กำลังปรับตัวโดยเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การมีร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ พื้นที่สำหรับเด็กเล่น - ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยก็พยายามปรับตัวเช่นกัน เช่น การมีร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ สวนสนุก พื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และห้างสรรพสินค้าก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับการช้อปปิ้ง ข้อควรพิจารณา: การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ: อีคอมเมิร์ซยังคงเป็นภัยคุกคามต่อห้างสรรพสินค้า ห้างสรรพสินค้าจำเป็นต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค: พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ห้างสรรพสินค้าจำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า การแข่งขัน: ห้างสรรพสินค้าต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งห้างสรรพสินค้าด้วยกันเอง และจากร้านค้าออนไลน์ โดยรวมแล้ว ห้างสรรพสินค้ายังมีโอกาสที่จะอยู่รอดต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ห้างสรรพสินค้าจำเป็นต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้าและเอาชนะการแข่งขัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56659
Retail
การเข้าซื้อหุ้นคืนจาก East China ของ Starbucks จะส่งผลดีต่อธุรกิจของ Starbucks ในประเทศจีนหรือไม่?
null
มีโอกาสส่งผลดี เหตุผล: 1. การควบคุมธุรกิจ: Starbucks จะสามารถควบคุมกลยุทธ์และการดำเนินงานของร้านค้าทั้งหมดในประเทศจีนได้เอง ช่วยให้ Starbucks เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้ดีขึ้น ช่วยให้ Starbucks พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้ 2. การขยายสาขา: Starbucks มีแผนจะขยายสาขาในประเทศจีนจาก 2,800 แห่ง เป็น 5,000 แห่งภายในปี 2564 การควบคุมธุรกิจเองจะช่วยให้ Starbucks ขยายสาขาได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. การเพิ่มประสิทธิภาพ: Starbucks สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านค้า ช่วยให้ Starbucks ลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร 4. การเข้าถึงข้อมูล: Starbucks จะสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าในประเทศจีนทั้งหมด ช่วยให้ Starbucks พัฒนาแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้า 5. การสร้างแบรนด์: Starbucks สามารถควบคุมภาพลักษณ์ของแบรนด์ในประเทศจีนได้เอง ช่วยให้ Starbucks สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จ การแข่งขัน: ตลาดกาแฟในประเทศจีนมีการแข่งขันสูง ความต้องการของผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวจีนมีความต้องการที่แตกต่างจากผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา กฎระเบียบ: กฎระเบียบของจีนอาจทำให้ Starbucks ดำเนินธุรกิจได้ยากขึ้น โดยสรุป การเข้าซื้อหุ้นคืนจาก East China ของ Starbucks มีโอกาสส่งผลดีต่อธุรกิจของ Starbucks ในประเทศจีน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56663
Retail
กลยุทธ์ Mini & Pop-up Store ของ Ikea จะช่วยให้ Ikea รักษาอันดับ 1 ในกลุ่มค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ในแง่ของมูลค่าแบรนด์ในปี 2025 หรือไม่?
null
มีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะ 1. การเข้าถึงลูกค้าที่สะดวก -Mini Store ตั้งอยู่ในตัวเมือง ใกล้กับผู้บริโภค -Pop-up Store นำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะเจาะจง ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย 2. การตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง -ผู้บริโภคชื่นชอบความสะดวก รวดเร็ว -ต้องการสัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ 3. การเสริมสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบผสมผสาน (Omnichannel) -ลูกค้าสามารถช็อปออนไลน์ และมารับสินค้าที่ Mini Store -เพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม 4. การสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย -แสดงถึงความยืดหยุ่น ปรับตัวตามเทรนด์ -ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ 5. การขยายฐานลูกค้า -เข้าถึงลูกค้าที่อาศัยอยู่ไกลจากสาขาใหญ่ -เข้าถึงลูกค้าที่ต้องการสินค้าเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม -กลยุทธ์ Mini & Pop-up Store เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทั้งหมด -ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อมูลค่าแบรนด์ เช่น สินค้า ราคา การบริการ -คู่แข่งในตลาดเฟอร์นิเจอร์มีการแข่งขันสูง สรุป -กลยุทธ์ Mini & Pop-up Store ของ Ikea มีโอกาสช่วยรักษาอันดับ 1 ในกลุ่มค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ในแง่ของมูลค่าแบรนด์ -กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Ikea เข้าถึงลูกค้า สะดวก รวดเร็ว ตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อมูลค่าแบรนด์
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56671
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจร้านของฝากเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความอดทนและความเอาใจใส่ เจ้าของร้านต้องรู้จักสินค้าของตัวเอง และสามารถแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างเหมาะสม
null
ร้านของฝากริมทางหลวง สายลมหนาวพัดโชยมาเบาๆ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงมาบนพื้นถนน ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหมอก บนทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งสู่ภาคเหนือ รถยนต์มากมายวิ่งผ่านไปมา บ้างมุ่งหน้าสู่ภูเขาสูง บางมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบ ณ ร้านของฝากริมทางหลวงแห่งหนึ่ง ป้าทองดี หญิงวัยกลางคน กำลังจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางอย่างขะมักเขม้น ร้านของเธอมีชื่อว่า "ร้านของฝากบ้านป้าทองดี" ที่นี่มีสินค้าหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ของที่ระลึก ป้าทองดีทำธุรกิจนี้มาหลายปีแล้ว เธอรู้ดีว่าลูกค้าที่มาซื้อของที่ร้านของเธอ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างจังหวัด พวกเขาแวะซื้อของฝากก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง วันนี้เป็นวันที่คึกคักเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวมากมายแวะเวียนมาซื้อของที่ร้าน ป้าทองดีต้อนรับลูกค้าทุกคนด้วยรอยยิ้ม ยินดีตอบคำถามและแนะนำสินค้าให้กับลูกค้า "ป้ามีของฝากอะไรแนะนำบ้างคะ?" หญิงสาวคนหนึ่งถาม "มีค่ะ มีหลายอย่างเลย ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการซื้ออะไร ของกิน ของใช้ ของที่ระลึก มีหมดค่ะ" ป้าทองดีตอบ "อยากได้ของกินอร่อยๆ หน่อยค่ะ" "งั้นลองชิมขนมหม้อแกงนี้สิคะ อร่อยมาก รับรองว่าไม่ผิดหวัง" หญิงสาวซื้อขนมหม้อแกงไป 2 กล่อง "ป้ามีของฝากอะไรที่เหมาะกับเด็กไหมคะ?" ชายหนุ่มคนหนึ่งถาม "มีค่ะ มีตุ๊กตาผ้า กระเป๋าผ้า ของเล่นต่างๆ เด็กๆ ชอบมาก" ชายหนุ่มซื้อตุ๊กตาผ้าไป 1 ตัว ป้าทองดีรู้สึกดีใจที่ได้ขายของให้กับลูกค้า เธอรู้ว่าของฝากจากร้านของเธอจะสร้างความประทับใจให้กับผู้รับ และสร้างรอยยิ้มให้กับพวกเขา
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56672
Retail
ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ครั้งล่าสุด มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อ 27 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา (เพิ่มอีก 0.25% กลายเป็น 2.50% ต่อปี) ทำให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐต่างปรับตัวทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งขาเงินฝากและเงินกู้อย่างต่อเนื่อง หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อ 27 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา (เพิ่มอีก 0.25% กลายเป็น 2.50% ต่อปี) ทำให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐต่างปรับตัวทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งขาเงินฝากและเงินกู้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันนี้ (2 ต.ค.) ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.30% และปรับขึ้นเงินกู้ 0.25% มีผลวันที่ 3 ต.ค. 2566 นี้ ล่าสุดวันนี้ (2 ต.ค.) ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.30% และปรับขึ้นเงินกู้ 0.25% มีผลวันที่ 3 ต.ค. 2566 นี้ กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแม้คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ก็น่าจะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้าจากปัจจัยทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน และเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รวมถึงเป้าหมายของธนาคารที่จะเป็น Digital Bank with Human Touch กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแม้คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ก็น่าจะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้าจากปัจจัยทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน และเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รวมถึงเป้าหมายของธนาคารที่จะเป็น Digital Bank with Human Touch ทางธนาคารจึงได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัลและเงินฝากประเภทไม่มีสมุด รวมถึงเงินฝากประจำ โดยปรับเพิ่มขึ้น 0.10% – 0.30% ต่อปี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อสะท้อนต้นทุนทางการเงินในระบบที่สูงขึ้น ได้แก่ ทางธนาคารจึงได้ปรับ และ ปรับขึ้น ยืม เพื่อสะท้อน ต้นทุนทางการเงินในระบบที่สูงขึ้น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.05% เป็น 7.30% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.80% เป็น 7.05% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.325% เป็น 7.575% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.05% เป็น 7.30% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.05% เป็น อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.80% เป็น 7.05% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.325% เป็น 7.575% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป ที่มา – ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มา – ธนาคารไทยพาณิชย์ อ่านเพิ่มเติม แบงก์กรุงเทพ ปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก-เงินกู้ รับผลกนง.ขึ้นดอกเบี้ยฯ 0.25%
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารไทยพาณิชย์มีผลต่อธุรกิจค้าปลีก ดังนี้: ผลกระทบเชิงบวก: กระตุ้นให้ผู้บริโภคออมเงินมากขึ้น: อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นจะดึงดูดให้ผู้บริโภคออมเงินมากขึ้น แทนที่จะใช้จ่าย เงินออมที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถนำไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีกได้ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจ: ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นและในราคาที่ถูกลง เงินทุนเหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจ พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ และจ้างพนักงานเพิ่ม ส่งเสริมการลงทุน: อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงกระตุ้นให้ผู้คนลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งอาจรวมถึงธุรกิจค้าปลีก การลงทุนเหล่านี้สามารถสร้างงานใหม่ ๆ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ผลกระทบเชิงลบ: ผู้บริโภคอาจใช้จ่ายน้อยลง: อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นเมื่อกู้ยืมเงิน สิ่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่จำเป็น ธุรกิจค้าปลีกมีต้นทุนที่สูงขึ้น: ธุรกิจค้าปลีกต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นสำหรับเงินกู้ สิ่งนี้อาจส่งผลต่อกำไรของธุรกิจ ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด: ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กมักมีเงินทุนสำรองน้อยกว่าธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ จึงอาจมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น โดยรวมแล้ว ผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารไทยพาณิชย์ต่อธุรกิจค้าปลีกนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพเศรษฐกิจโดยรวม พฤติกรรมผู้บริโภค และกลยุทธ์ของธุรกิจค้าปลีกแต่ละแห่ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ดีที่สุดมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56686
Retail
จงเขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง "การปรับทัพผู้บริหารเพื่อความเข้มแข็ง: SCB ก้าวสู่เป้าหมาย 'The Most Admired Bank" ให้เข้าใจหน่อย
null
หัวข้อ : SCB ปรับทัพ 7 ผู้บริหารใหม่ สู่เป้าหมาย The Most Admired Bank | Brand Inside SCB (ธนาคารไทยพาณิชย์) ได้เปิดเผยถึงการปรับทัพผู้บริหารใหม่ โดยเน้นการเลื่อนย้ายบุคคลภายในองค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมั่นให้กับธนาคารในการก้าวไปสู่เป้าหมาย "The Most Admired Bank" โดยทำการปรับปรุงทีมผู้บริหารใหม่ในลักษณะที่เป็นกลยุทธ์ยาวนาน การปรับทัพนี้อาจเน้นการส่งเสริมคุณลักษณะสำคัญของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการนำองค์กรสู่ความสำเร็จและการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน อาทิเช่น ความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน ความสามารถในการเปิดโอกาสและสร้างนวัตกรรม การทำงานร่วมกับทีมอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและส่วนหนึ่งที่สำคัญของธุรกิจ นอกจากนี้ การปรับทัพผู้บริหารยังอาจมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความรู้ให้กับทีมผู้บริหารใหม่ เพื่อให้พร้อมรับมือกับภาวะการเปลี่ยนแปลงในวงการการเงินและเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการปรับทัพผู้บริหารใหม่เช่นนี้ SCB อาจจะมีโอกาสที่จะเสริมสร้างพื้นฐานและความแข็งแกร่งของตนเพื่อเข้าไปในแนวทางที่เป้าหมาย โดยเพิ่มความเชื่อมั่นและความเป็นเลิศในการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าและสังคมทั้งหมด ซึ่งสามารถทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์กลายเป็นหนึ่งใน "The Most Admired Bank" ในตลาดที่แข็งแกร่งและมีการแข่งขันอย่างมีความเข้มงวดในปัจจุบัน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56692
Retail
การขยายตัวของร้านค้าออนไลน์ในธุรกิจ Fast Fashion จะส่งผลต่อร้านค้าแบบดั้งเดิมอย่างไร?
null
การขยายตัวของร้านค้าออนไลน์ในธุรกิจ Fast Fashion จะส่งผลต่อร้านค้าแบบดั้งเดิม ดังนี้ 1. ยอดขายในร้านค้าแบบดั้งเดิมอาจลดลง: - ลูกค้าบางส่วนอาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าออนไลน์ เพราะสะดวก รวดเร็ว และมีตัวเลือกสินค้ามากกว่า - ร้านค้าแบบดั้งเดิมอาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น จัดโปรโมชั่นพิเศษ พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้าน หรือเสนอบริการเพิ่มเติม 2. ต้นทุนของร้านค้าแบบดั้งเดิมอาจเพิ่มขึ้น: - ร้านค้าแบบดั้งเดิมอาจต้องลงทุนในระบบออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน - ร้านค้าแบบดั้งเดิมอาจต้องจ้างพนักงานเพิ่มเติมเพื่อดูแลระบบออนไลน์ 3. เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น: - ร้านค้าออนไลน์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น - ร้านค้าแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับร้านค้าออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ร้านค้าแบบดั้งเดิมยังมีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการ เช่น: - ลูกค้าสามารถสัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ - ลูกค้าสามารถลองสวมใส่สินค้าก่อนซื้อ - ลูกค้าสามารถรับสินค้าได้ทันที ดังนั้น ร้านค้าแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จในอนาคต จะเป็นร้านค้าที่สามารถผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างลงตัว ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ร้านค้าแบบดั้งเดิมสามารถนำไปใช้: - พัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อจำหน่ายสินค้าออนไลน์ - เสนอบริการ Click & Collect ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และไปรับสินค้าที่หน้าร้าน - จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าออนไลน์ - พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้านให้ดึงดูดลูกค้า เช่น จัดกิจกรรมพิเศษ เสนอบริการพิเศษ สรุป: การขยายตัวของร้านค้าออนไลน์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ร้านค้าแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ร้านค้าที่ประสบความสำเร็จในอนาคต จะเป็นร้านค้าที่สามารถผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างลงตัว
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56695
Retail
สรุปบทความเรื่อง Alibaba ร่วมมือ Shanghai Bailian Group ให้หน่อย
เรื่องราวของ Alibaba มีให้ติดตามกันทุกวัน และความเคลื่อนไหวแต่ละครั้งก็น่าสนใจ ล่าสุด Alibaba ร่วมมือกับ Shanghai Bailian Group หนึ่งในห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในจีน เร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานเพื่อเปลี่ยนค้าปลีกไปจากรูปแบบเดิม ความร่วมมือนี้ Alibaba จะเข้ามาอัพเกรดห้าง Bailian กว่า 4,700 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการได้ดีขึ้น ตั้งแต่ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า, การจ่ายเงิน และระบบการขนส่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกับร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ Suning Commerce Group ซึ่ง Alibaba ได้ลงทุนเพื่อยกระดับไปก่อนหน้านี้ Daniel Zhang ซีอีโอของ Alibaba บอกว่า การเป็นพันธมิตรกับ Bailian เป็นอีกก้าวสำคัญในการปฏิวัติวงการค้าปลีกของจีน ซึ่งโลกออนไลน์และออฟไลน์จะรวมกัน โดย Alibaba จะพัฒนา Bailian ทั้ง 4,700 สาขา ใน 25 จังหวัดของจีนนอกเหนือจากที่มีห้างของ Intime, Suning และ Sanjiang Shopping Club โดยทั้งหมด เรียกว่าการทดลองการค้าปลีกแนวใหม่ Alibaba จะไม่ถือหุ้นใน Bailian แต่ความร่วมมือครั้งนี้ จะผสานฐานข้อมูลสมาชิกและการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ซื้อ โดยที่ระบบจ่ายเงินออนไลน์ของ Alibaba และ Alipay จะสามารถใช้ได้ที่ Bailian ทุกสาขา รวมถึงการใช้งานระบบขนส่งด้วย และนั่นทำให้ Alipay และระบบจ่ายเงินออนไลน์ของ Alibaba สามารถใช้งานได้แทบทุกที่ในประเทศจีน ทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์
Alibaba ร่วมมือกับ Shanghai Bailian Group อัพเกรดห้าง Bailian กว่า 4,700 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการได้ดีขึ้น ตั้งแต่ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า, การจ่ายเงิน และระบบการขนส่ง ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติวงการค้าปลีกของจีน ซึ่งโลกออนไลน์และออฟไลน์จะรวมกัน โดย Alibaba จะพัฒนา Bailian ทั้ง 4,700 สาขา ใน 25 จังหวัดของจีน เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ซื้อ โดยที่ระบบจ่ายเงินออนไลน์ของ Alibaba และ Alipay จะสามารถใช้ได้ที่ Bailian ทุกสาขา รวมถึงการใช้งานระบบขนส่ง ทำให้ Alipay และระบบจ่ายเงินออนไลน์ของ Alibaba สามารถใช้งานได้แทบทุกที่ในประเทศจีน ทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56705
Retail
กลยุทธ์การมุ่งเน้นไปที่ร้านกาแฟพรีเมียมของ Starbucks จะช่วยให้ Starbucks รักษาอันดับ 1 ในกลุ่มร้านกาแฟในแง่ของมูลค่าแบรนด์ในปี 2025 หรือไม่?
null
มีโอกาสเป็นไปได้ เหตุผล: 1. การเติบโตของตลาดกาแฟพรีเมียม: - ตลาดกาแฟพรีเมียมมีการเติบโตสูงกว่าตลาดกาแฟทั่วไป - ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับประสบการณ์และคุณภาพของกาแฟมากขึ้น 2. จุดแข็งของ Starbucks: - แบรนด์ Starbucks มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักทั่วโลก - Starbucks มีฐานลูกค้ากลุ่มพรีเมียมอยู่แล้ว - Starbucks มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานร้านกาแฟพรีเมียม 3. กลยุทธ์การขยายสาขา: - Starbucks วางแผนที่จะเปิดร้าน Roastery เพิ่มอีก 20 แห่งทั่วโลก - Starbucks วางแผนที่จะเปิดร้าน Reserve เพิ่มอีก 1,000 แห่งทั่วโลก 4. การผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์: - Starbucks ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม - Starbucks มอบประสบการณ์ที่ราบรื่นทั้งในร้านและออนไลน์ อย่างไรก็ตาม: - กลยุทธ์นี้มีค่าใช้จ่ายสูง - คู่แข่งในตลาดกาแฟพรีเมียมมีการแข่งขันสูง - พฤติกรรมของผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลง สรุป: กลยุทธ์การมุ่งเน้นไปที่ร้านกาแฟพรีเมียมมีโอกาสช่วยให้ Starbucks รักษาอันดับ 1 ในกลุ่มร้านกาแฟในแง่ของมูลค่าแบรนด์ โดยมีจุดแข็งหลายประการ เช่น ตลาดกาแฟพรีเมียมที่เติบโต จุดแข็งของ Starbucks กลยุทธ์การขยายสาขา แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น ค่าใช้จ่าย คู่แข่ง และพฤติกรรมของผู้บริโภค เพิ่มเติม: - กลยุทธ์นี้เป็นการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง - ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการประสบการณ์ที่พิเศษและแตกต่าง - Starbucks กำลังสร้างจุดยืนที่แตกต่างจากคู่แข่ง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56716
Retail
อธิบายกลยุทธ์ที่ Ripple ใช้ในการสร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้าในธุรกิจนมและโยเกิร์ต
อย่างที่เราพอจะรู้กันอยู่บ้างว่าอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค บริโภค (Consumer Product) กำลังก้าวเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลง กำลังโดนเหล่า Startup ที่สร้าง Business Model ใหม่ๆ เข้ามาท้าทายเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่และ Disrupt ระบบการขายแบบเดิมๆ และเป็นประเพณีของ Circleup บริษัทที่สร้าง Online Marketplace สำหรับ Invester และบริษัท Startup ในด้าน Consumer และ Retail ให้ได้มาเจอกัน ที่จะประกาศรางวัล Most Innovative ให้กับบริษัทเหล่านี้ทุกๆ ปี ซึ่งที่ผ่านๆ มาบริษัทที่ได้รับรางวัลก็ประสบความสำเร็จกันเยอะซะด้วย เช่น Dollar Shave Club, Stumptown, SoulCycle และอื่นๆ ซึ่ง Circleup ก็เพิ่งประกาศรางวัล “The 25 Most Innovative Consumer Brands” สำหรับปี 2016 นี้ครับ ซึ่งในปีนี้เค้าบอกว่าอุตสาหกรรมอาหาร, นม, และโยเกิร์ตมีความน่าสนใจ ซึ่งผมคงไม่เขียนถึงทั้งหมด ขอเลือกมาบางบริษัทที่น่าสนใจนะครับ Peloton | New York, NY เป็นบริษัทที่นำเสนอประสบการณ์ใหม่ในการออกกำลังกายด้วยเครื่องปั่นจักรยาน ด้วยการเพิ่มจอสำหรับ live คลาสการปั่นจักรยานด้วย สามารถเลือกเวลาหรือโค้ชได้ตามใจชอบ อาจจะเรียกง่ายๆ ว่า “คลาสจักรยาน On Demand” ก็ได้ (ให้อารมณ์เหมือนเราไปเข้าคลาสปั่นจักรยานที่ฟิตเนส แต่อันนี้สามารถปั่นที่บ้านได้) โดยปีนี้ Peloton มีรายได้ถึง 150 ล้านเหรียญเลยทีเดียว ใครยังสงสัยลองดูวีดีโอตัวอย่างของ Peloton ได้ครับ Ripple | Emeryville, CA เป็นบริษัทที่ผลิตนมนี่แหละครับ เพียงแต่ใส่ Innovation ลงไปในตัวผลิตภัณฑ์ที่อร่อยขึ้น มีคุณค่าทางอาหารมากขึ้นและที่สำคัญคือเป็นมิตรกับโลก โดยนมของ Ripple นั้นมีโปรตีนสูงกว่านมอัลมอนด์ถึง 8 เท่า ใส่น้ำตาลน้อย (และตั้งเป้าว่าจะไม่มีน้ำตาลเลย!) และใช้น้ำในการผลิตน้อยลง 93% (Has a 93% lower water footprint than dairy) Allbirds | San Francisco, CA บริษัทที่มีเป้าหมายจะ Disrupt โลกของ Sneaker! (หรือง่ายๆ ก็คือท้าทาย Nike, Adidas นั่นแหละ) ด้วยการผลิต “รองเท้าที่ใส่สบายที่สุดในโลก” แถมได้รับการยืนยันจากนิตยสาร Time ซะด้วย โดยเป็นรองเท้าที่ผลิตจากแกะขนยาว, วัสดุที่ระบายอากาศได้ดี ลดกลิ่นและมีการควบคุมอุณภูมิอีกตะหาก Impossible Foods | Redwood City, CA ถ้าคิดถึงอาหารขยะ “เบอร์เกอร์” ย่อมเป็นอาหารอันดับต้นๆ ที่คนนึกถึง แต่ Impossible Foods ได้ทำการพัฒนา “เบอร์เกอร์เทียม” ที่มีกลิ่น รสสัมผัส และรสชาติใกล้เคียงกับเบอร์เกอร์จริงๆ โดยใช้ส่วนประกอบของพืชเป็นหลัก (Plant-Base) ซึ่งองค์ประกอบหลักเป็นโมเลกุลที่ได้จากคลอโรฟิลด์ (Plant-Blood) โดยที่ส่วนประกอบจะผลิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สรุปง่ายๆ ก็คือเปลี่ยนเบอร์เกอร์จากอาหารขยะให้กลายเป็นอาหารที่ดีสุขภาพและต่อโลกนั่นเอง (ถึงได้ตั้งชื่อบริษัทว่า Impossible Food สินะ) Nulo | Austin, TX ไม่ใช่เฉพาะคนเท่านั้นที่ต้องการอาหารจากธรรมชาติ แม้แต่สุนัขหรือแมวก็ต้องการ (จริงๆ น่าจะเป็นเจ้าของมากกว่า) Nulo เป็นบริษัทอาหารสุนัขที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ และ probiotic อีกตะหาก ซึ่งเค้าบอกว่าจะช่วยให้สุนัขของเรานั้นแอคทีฟและเปี่ยมไปด้วยพลังงานตลอดวัน (โฆษณาซะ!) จริงๆ ยังมีอีกหลายบริษัทที่น่าสนใจ แต่เท่าที่ลองสังเกตุดูพบว่าในปีนี้นวัตกรรมทางด้านอาหารและเครื่องดื่มจะเยอะเป็นพิเศษโดยเฉพาะในด้านของการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ (ด้วยวิธีการพิเศษ) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, ความเป็น Organics และ Non-GMO ส่วนที่รองลงมาจะเป็นการออกกำลังกาย นี่น่าจะบ่งบอกถึงเทรนด์โลกบางส่วนได้ว่า “Food Innovation” กำลังจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทานอาหารและการใช้ชีวิตของเราในอนาคต ทีมา : Forbes, circleup ทีมา : Forbes , circleup ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related นวัตกรรมสู้วิกฤต เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิตที่ดี In "Article" JOOX Thailand Music Awards งานประกาศรางวัลที่สร้างความคึกคักให้อุตสาหกรรมเพลงไทยมายาวนานถึง 6 ปี In "Featured" “ทุ่ม 500 ล้านบาทลงทุน Startup” Krungsri Finnovate เปิดเกมนวัตกรรม หวังโตยั่งยืน In "News"
กลยุทธ์ที่ Ripple ใช้ในการสร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้าในธุรกิจนมและโยเกิร์ต มีดังนี้: 1. มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่: - นมที่มีโปรตีนสูง: Ripple นำเสนอนมที่มีโปรตีนสูงกว่านมอัลมอนด์ถึง 8 เท่า ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังมองหาแหล่งโปรตีนจากพืช - นมที่มีน้ำตาลน้อย: Ripple นำเสนอนมที่มีน้ำตาลน้อย (และตั้งเป้าว่าจะไม่มีน้ำตาลเลย!) ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาล - นมที่เป็นมิตรกับโลก: Ripple นำเสนอนมที่ใช้น้ำในการผลิตน้อยลง 93% ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 2. มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง: - กลุ่มผู้บริโภคที่ทานมังสวิรัติ: Ripple มุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคที่ทานมังสวิรัติ ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว - กลุ่มผู้บริโภคที่แพ้นมวัว: Ripple นำเสนอนมที่ปราศจากแลคโตส ซึ่งเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่แพ้นมวัว - กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ: Ripple นำเสนอนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และดีต่อสุขภาพ 3. มุ่งเน้นไปที่ช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย: - ร้านค้าปลีก: Ripple จำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านค้าปลีกทั่วไป - ร้านค้าออนไลน์: Ripple จำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านค้าออนไลน์ - บริการจัดส่งถึงบ้าน: Ripple นำเสนอบริการจัดส่งผลิตภัณฑ์ถึงบ้าน 4. มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การตลาดแบบดิจิทัล: - โซเชียลมีเดีย: Ripple ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ - การตลาดออนไลน์: Ripple ใช้การตลาดออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง - ผู้มีอิทธิพล: Ripple ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ Ripple | Emeryville, CA เป็นบริษัทที่ผลิตนม เพียงแต่ใส่ Innovation ลงไปในตัวผลิตภัณฑ์ที่อร่อยขึ้น มีคุณค่าทางอาหารมากขึ้นและที่สำคัญคือเป็นมิตรกับโลก - โดยนมของ Ripple นั้นมีโปรตีนสูงกว่านมอัลมอนด์ถึง 8 เท่า - ใส่น้ำตาลน้อย (และตั้งเป้าว่าจะไม่มีน้ำตาลเลย!) - และใช้น้ำในการผลิตน้อยลง 93% (Has a 93% lower water footprint than dairy) Allbirds | San Francisco, CA
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56719
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
null
โออิชิ เขย่าตลาดชาเขียว: ศึกชิงใจวัยรุ่น ณ ร้านสะดวกซื้อปลายซอย เด็กหนุ่มวัย 17 ปี นามว่า "แทน" กำลังยืนลังเลอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ขวดชาเขียวหลากสีสัน แต่ละขวดต่างมีกลยุทธ์ดึงดูดใจวัยรุ่น แทนมองขวดชาเขียวโออิชิ กรีนที องุ่นเคียวโฮที่มีรูป พุฒ-พุฒิชัย ดาราที่เขาชื่นชอบอยู่บนฉลาก เขานึกถึงซีรีส์ "U-prince The Series" ที่เพิ่งดูจบไป "เอาขวดนี้แหละ!" แทนตัดสินใจหยิบชาเขียวองุ่นเคียวโฮขึ้นมา เบื้องหลังกลยุทธ์ โออิชิ กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มหดตัว ผู้บริโภคเริ่มเบื่อหน่ายกับรสชาติเดิมๆ "เราต้องสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายฐานตลาด และกลุ่มวัยรุ่นคือเป้าหมายสำคัญ" เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว โออิชิมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสินค้าใหม่ เจาะกลุ่มวัยรุ่น พวกเขาออกชาเขียวผลไม้รสชาติแปลกใหม่ ผสมวุ้นมะพร้าว "โออิชิ กรีนที องุ่นเคียวโฮ ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นสินค้าอันดับ 2 ของโออิชิ" เจษฎากรกล่าว การวัดผลออนไลน์ โออิชิทุ่มงบการตลาด 50 ล้านบาทในไตรมาส 3 เน้นไปที่สื่อออนไลน์และรายการทีวีที่จับกลุ่มวัยรุ่น "เราต้องการวัดผลด้านออนไลน์ให้ชัดเจน เป้าหมายสูงสุดคือ การเป็น Brand Love ของวัยรุ่น" เจษฎากรกล่าว โออิชิจัดแคมเปญ "โออิชิ ซีรีส์ แบทเทิล เคียวโฮ ไฟท์โตะ" รวบรวมศิลปินขวัญใจวัยรุ่นจากซีรีส์ยอดนิยม "ซีรีส์เป็นสื่อที่เข้าถึงวัยรุ่นได้ดีมาก และผลตอบรับดีเกินคาด" เจษฎากรกล่าว บทสรุป โออิชิ กำลังเดินหน้ารุกตลาดชาเขียวอย่างเข้มข้น กลยุทธ์ของพวกเขาคือ การพัฒนาสินค้าใหม่ เจาะกลุ่มวัยรุ่น ผ่านสื่อออนไลน์และซีรีส์ยอดนิยม
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56720
Retail
กลยุทธ์การปรับลดราคาสินค้าลงกว่า 100 รายการของ UNIQLO ในประเทศไทย จะส่งผลดีต่อธุรกิจในแง่ของกลยุทธ์ค้าปลีกอย่างไร
null
กลยุทธ์การปรับลดราคาสินค้าครั้งนี้ น่าจะมีผลดีต่อธุรกิจ UNIQLO ในประเทศไทย ในแง่ของกลยุทธ์ค้าปลีก ดังนี้ 1. กระตุ้นยอดขาย -การลดราคาสินค้า เป็นแรงจูงใจที่ดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะประหยัด การลดราคาสินค้า จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้า UNIQLO คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย -UNIQLO คาดหวังว่า กลยุทธ์นี้จะช่วยกระตุ้นยอดขาย และทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ -UNIQLO สามารถทำยอดขายตามเป้าหมายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 แสดงให้เห็นว่า กลยุทธ์การลดราคาสินค้า น่าจะมีผลดีต่อยอดขายของ UNIQLO 2. เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด -ตลาดเสื้อผ้าในประเทศไทย มีการแข่งขันสูง มีแบรนด์เสื้อผ้าหลากหลาย ให้ลูกค้าเลือกซื้อ -การลดราคาสินค้า เป็นกลยุทธ์ที่ UNIQLO ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า ให้หันมาซื้อสินค้าของ UNIQLO มากขึ้น -กลยุทธ์นี้ น่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ UNIQLO ในประเทศไทย 3. สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ -การลดราคาสินค้า เป็นการสื่อให้ลูกค้าเห็นว่า UNIQLO เป็นแบรนด์ที่มุ่งมั่น ที่จะนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคาที่คุ้มค่า -กลยุทธ์นี้ น่าจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ UNIQLO ในสายตาของลูกค้า -ภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ จะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้ 4. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ -การลดราคาสินค้า เป็นการดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่อาจจะไม่เคยซื้อสินค้า UNIQLO มาก่อน กลุ่มลูกค้าใหม่เหล่านี้ อาจจะกลายเป็นลูกค้าประจำของ UNIQLO ในอนาคต -การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ จะช่วยขยายฐานลูกค้าของ UNIQLO และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลดราคาสินค้า ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น อาจจะทำให้กำไรของบริษัทลดลง ลูกค้าอาจจะติดนิสัยการรอซื้อสินค้าตอนลดราคา ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว UNIQLO จำเป็นต้องมีแผนรองรับความเสี่ยงเหล่านี้ และหาจุดสมดุลระหว่างการกระตุ้นยอดขาย กับการรักษากำไรของบริษัท โดยรวมแล้ว กลยุทธ์การปรับลดราคาสินค้าลงกว่า 100 รายการของ UNIQLO น่าจะมีผลดีต่อธุรกิจในแง่ของกลยุทธ์ค้าปลีก ช่วยกระตุ้นยอดขาย เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56722
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักที่ Tops ใช้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต?
null
กลยุทธ์หลักที่ Tops ใช้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต มีดังนี้ 1. ขยายสาขาให้ครอบคลุม Tops วางแผนขยายสาขาให้ครบ 600 สาขาทั่วประเทศภายใน 5 ปี โดยเน้นไปที่การขยายสาขา Tops Market ซึ่งสร้างรายได้ให้มากที่สุด และ Tops Daily ซึ่งตอบสนองพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคได้ดี 2. เน้นเรื่องคุณภาพ Tops เน้นเรื่องคุณภาพของสินค้า โดยมีแหล่งวัตถุดิบในประเทศจากชุมชนเกษตรกร 28 จังหวัดโดยตรง รวมถึงต่างประเทศก็ติดต่อโดยตรงกับแหล่งผลิต เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สดใหม่จริงๆ 3. พัฒนาระบบ CRM Tops มีระบบ CRM ผ่านบัตร The One Card ของเซ็นทรัล ที่มีสมาชิกกว่า 12 ล้านราย ทำให้ Tops สามารถทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น 4. นำเสนอรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตที่หลากหลาย Tops มีรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตที่หลากหลายมากที่สุด 5. ขยายไปพร้อมกับห้างเซ็นทรัล Tops ขยายสาขาไปพร้อมกับห้างเซ็นทรัล 6. พัฒนาธุรกิจ e-Commerce Tops พัฒนาธุรกิจ e-Commerce โดยใช้ประโยชน์จากสาขาที่มีจำนวนมาก 7. ร่วมมือกับ Central Online Tops ร่วมมือกับ Central Online เพื่อทำตลาดออนไลน์ 8. งดให้ถุงพลาสติก Tops งดให้ถุงพลาสติกทุกวันที่ 3 ของเดือน เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 9. ใช้หลอดข้าวโพด Tops เปลี่ยนมาใช้หลอดข้าวโพดแทนหลอดพลาสติก 10. เปิดสาขาในต่างประเทศ Tops เปิดสาขาแรกในโฮจิมินท์ เวียดนาม กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Tops สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ เพิ่มเติม -Tops เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากซูเปอร์มาร์เก็ตอื่นๆ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนียนสโตร์ -Tops จำเป็นต้องพัฒนาและปรับกลยุทธ์อยู่เสมอเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สรุป Tops รักษาความเป็นผู้นำในตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56723
Retail
สรุปบทความเรื่อง Lego ยอมแพ้ในการพยายามผลิตตัวต่อรักษ์โลก ให้หน่อย
Lego กับปัญหาการเดินกลยุทธ์รักษ์โลก สำนักข่าว Reuters อ้างอิงการรายงานของ Financial Times ที่ได้คำตอบจาก Niels Christiansen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lego ว่า วัสดุที่ทำมาจาก Recycled Polyethylene Terephthalate หรือ RPET ส่งผลให้เกิดการปล่อยมลพิษทางคาร์บอนมากขึ้น “เราทดสอบหลายต่อหลายวัสดุ แต่ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะหาวัสดุที่ทำเรื่องนั้นได้” Niels Christiansen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lego แจ้งเกี่ยวกับการหาวัสดุในการผลิตตัวต่อที่มีความยั่งยืน หลังบริษัทเคยให้คำมั่นว่าจะใช้วัสดุทดแทนตัวต่อที่ทำมาจากพลาสติกที่มีน้ำมันดิบเป็นส่วนประกอบภายสิ้นปี 2030 Lego มีความพยายามที่จะหาวัสดุที่มีความยั่งยืนเพื่อมาใช้ทดแทนตัวต่อพลาสติกที่มีน้ำมันดิบเป็นส่วนประกอบตั้งแต่ปี 2020 แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาวัสดุที่มีประสิทธิภาพด้านสี, ความเงางาม และเสียงในการต่อได้ใกล้เคียงกับตัวต่อที่ทำมาจากพลาสติกได้
Reuters รายงานว่า Lego ผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่ของโลก บอกว่าพยายามที่จะหาวัสดุที่มีความยั่งยืนเพื่อมาใช้ทดแทนตัวต่อพลาสติกที่มีน้ำมันดิบเป็นส่วนประกอบตั้งแต่ปี 2020 แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาวัสดุที่มีประสิทธิภาพด้านสี, ความเงางาม และเสียงในการต่อได้ใกล้เคียงกับตัวต่อที่ทำมาจากพลาสติกได้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56726
Retail
Tops Daily จะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจาก 7-Eleven ในไทยได้หรือไม่?
null
เป็นไปได้ เหตุผล คือ: 1. ศักยภาพของ Tops Daily: - อยู่ภายใต้เครือเซ็นทรัล รีเทล กลุ่มธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ - มีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง - มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีก - มีความเชี่ยวชาญในการนำเสนอสินค้าหลากหลาย - มีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในไทย 2. จุดอ่อนของ 7-Eleven: - เผชิญกับปัญหาสินค้าล้นสต๊อก - เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพนักงาน - เผชิญกับปัญหาการแข่งขันที่รุนแรง 3. กลยุทธ์ของ Tops Daily: - เน้นสินค้ากลุ่มอาหารสด อาหารพร้อมทาน และสินค้าอุปโภคบริโภค - นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม - มุ่งเน้นการให้บริการที่ดี พัฒนาช่องทางออนไลน์ 4. เทรนด์ของตลาดค้าปลีก: - ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่หลากหลาย - ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีคุณภาพ - ผู้บริโภคชื่นชอบการช็อปปิ้งแบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม: - 7-Eleven ยังมีส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ - 7-Eleven มีจุดแข็งด้านจำนวนสาขา - 7-Eleven มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สรุป: - Tops Daily มีศักยภาพที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจาก 7-Eleven - Tops Daily มีจุดแข็งหลายประการ เช่น อยู่ภายใต้เครือเซ็นทรัล รีเทล มีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีก - 7-Eleven เผชิญกับปัญหาหลายประการ เช่น สินค้าล้นสต๊อก ขาดแคลนพนักงาน การแข่งขันที่รุนแรง - เทรนด์ของตลาดค้าปลีกเอื้อต่อ Tops Daily - Tops Daily จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56727
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ theCOMMONS ในการดึงดูดร้านค้าและสร้างความแตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์อื่น ๆ
null
กลยุทธ์หลักของ theCOMMONS ในการดึงดูดร้านค้าและสร้างความแตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์อื่น ๆ มีดังนี้: 1. เน้นร้านค้าและร้านอาหารท้องถิ่น: theCOMMONS มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดร้านค้าและร้านอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แทนที่จะดึงดูดร้านเชนขนาดใหญ่ กลยุทธ์นี้ช่วยให้โครงการมีบรรยากาศที่แตกต่างและน่าสนใจ 2. GP Model: theCOMMONS ใช้ GP Model หรือคิดค่าเช่าจากส่วนแบ่งรายได้ของแต่ละร้านค้า แทนที่จะคิดค่าเช่าแบบตายตัว วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงสำหรับร้านค้าท้องถิ่นและช่วยให้พวกเขามีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับโครงการ 3. พื้นที่และบริการที่หลากหลาย: theCOMMONS นำเสนอพื้นที่และบริการที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ theCOMMONS Market: พื้นที่หลักที่รวบรวมร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ที่มีคอนเซปต์แตกต่าง Groundwork: พื้นที่สำหรับทำงานและพบปะผู้คน All Kinds: พื้นที่สำหรับแบรนด์น้องใหม่จาก Kinnest Group Grandstand: พื้นที่กึ่งกลางแจ้งสำหรับการแสดงดนตรี ฉายภาพยนตร์ และกิจกรรมอื่น ๆ Play Yard: พื้นที่กึ่งกลางแจ้งสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย Retail & Rental Service: บริการเช่าอุปกรณ์สำหรับใช้ในสวนลอยฟ้า 4. เน้นสร้างชุมชน: theCOMMONS มุ่งเน้นไปที่การสร้างชุมชนที่ผู้คนสามารถมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิด และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 5. บรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร: theCOMMONS ออกแบบพื้นที่ให้มีบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และใกล้ชิดธรรมชาติ ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ theCOMMONS ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าและร้านค้า ลูกค้า: theCOMMONS มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ย 1,500-2,000 คน/วัน ร้านค้า: theCOMMONS มีร้านค้าเข้ามาเช่าพื้นที่กว่า 100 ร้าน ข้อสรุป: กลยุทธ์ของ theCOMMONS ในการดึงดูดร้านค้าและสร้างความแตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์อื่น ๆ ประสบความสำเร็จ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้โครงการมีบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร ดึงดูดลูกค้าหลากหลายกลุ่ม และสร้างชุมชนที่ผู้คนสามารถมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิด และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56747
Retail
Cloud 11 จะเป็นศูนย์กลางค้าปลีกแห่งใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่หรือไม่?
null
มีแนวโน้ม เหตุผล: 1. กลุ่มเป้าหมาย: Cloud 11 มุ่งเน้นไปที่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มครีเอเตอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ 2. รูปแบบค้าปลีก: Cloud 11 นำเสนอรูปแบบค้าปลีกแบบไฮบริด (Hybrid Retail) ผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งแบบ omnichannel 3. สินค้าและบริการ: Cloud 11 เน้นสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับครีเอเตอร์ เช่น อุปกรณ์สำหรับการถ่ายภาพและวิดีโอ สตูดิโอ พื้นที่สำหรับทำงานร่วมกัน อีเวนต์ต่างๆ 4. เทคโนโลยี: Cloud 11 นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง เช่น ระบบ AI personalization 5. พันธมิตร: Cloud 11 ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในหลายอุตสาหกรรม ช่วยให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายและครบวงจร ตัวอย่าง: - Cloud 11 มี Fulfillment Center สำหรับครีเอเตอร์ ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถจัดการสินค้าและจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ - Cloud 11 มี Cloud Kitchen สำหรับครีเอเตอร์สายอาหาร ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถทดสอบธุรกิจอาหารโดยไม่ต้องลงทุนหน้าร้าน - Cloud 11 มีแบรนด์ระดับโลกทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถต่อยอดผลงานและสร้างรายได้เพิ่มเติม ข้อจำกัด: - Cloud 11 เป็นโครงการใหม่ ยังไม่มีผลประกอบการที่พิสูจน์ได้ - Cloud 11 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีราคาสูง อาจจะเข้าถึงลูกค้าบางกลุ่มได้ยาก - Cloud 11 เน้นกลุ่มครีเอเตอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนจำกัด สรุป: Cloud 11 มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางค้าปลีกแห่งใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ ด้วยรูปแบบค้าปลีกที่ทันสมัย สินค้าและบริการที่ตรงใจ อย่างไรก็ตาม Cloud 11 ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น เป็นโครงการใหม่ ยังไม่มีผลประกอบการที่พิสูจน์ได้
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56757
Retail
กลยุทธ์ Co-Branding ของ Matan กับ Salad Factory ในการจำหน่ายน้ำสลัด Plant-based ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในช่องทางร้านขายปลีก (Retail) มากกว่าการทำตลาดด้วยตัวเองหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การผสานจุดแข็ง: - Matan มีจุดแข็งด้านการเข้าถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลีก (Retail) - Salad Factory มีจุดแข็งด้านฐานลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารสุขภาพ การขยายฐานลูกค้า: - ดึงดูดลูกค้าของ Salad Factory ที่สนใจซื้อน้ำสลัด Plant-based - ดึงดูดลูกค้าที่ซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกที่สนใจลองน้ำสลัด Plant-based การสร้างการรับรู้: - เพิ่มการรับรู้แบรนด์ Matan ในตลาดค้าปลีก (Retail) - เพิ่มการรับรู้สินค้า Plant-based ในกลุ่มผู้บริโภค การสร้างประสบการณ์ใหม่: - นำเสนอน้ำสลัด Plant-based รสชาติอร่อย คุณภาพดี สะดวก - สร้างประสบการณ์การทานอาหาร Plant-based ที่ดี ตัวอย่าง: ลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารสุขภาพจาก Salad Factory อาจจะลองซื้อน้ำสลัด Plant-based ของ Matan ลูกค้าที่ซื้อของในร้านค้าปลีก อาจจะสนใจซื้อน้ำสลัด Plant-based ของ Matan เพราะมีแบรนด์ Salad Factory ร่วมด้วย ข้อจำกัด: ราคา: น้ำสลัด Plant-based ของ Matan มีราคาสูงกว่าน้ำสลัดทั่วไป การแข่งขัน: มีผู้เล่นในตลาดน้ำสลัด Plant-based หลายราย การพึ่งพาแบรนด์: Matan อาจจะพึ่งพาแบรนด์ Salad Factory มากเกินไป คำแนะนำ: - Matan ควรพัฒนาสินค้า Plant-based ประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติม - Matan ควรขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า - Matan ควรทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56759
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักที่กลุ่มเซ็นทรัลใช้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก?
null
กลยุทธ์หลักที่กลุ่มเซ็นทรัลใช้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกมีดังนี้: 1. การปรับโครงสร้างองค์กร: เปลี่ยนจากระบบการทำงานแบบแยกส่วน มาเป็นระบบการทำงานแบบรวมศูนย์ (Centrality) มอบอำนาจให้หน้าร้านสามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาได้เอง ทำงานข้ามสายงาน (Cross-function) เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ใหม่ๆ 2. การนำเทคโนโลยีมาใช้: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าด้วย Big Data และ Machine Learning พัฒนาระบบสมาชิก The 1 เพื่อมอบประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ Robotics 3. การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ: ร่วมมือกับคู่ค้า ผู้เช่า และพันธมิตรอื่นๆ ลงทุนในธุรกิจร่วมทุน (Joint Venture) ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ 4. การมุ่งเน้นไปที่ลูกค้า: เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง มอบประสบการณ์ที่ตรงใจ ถูกเวลา พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกลยุทธ์เหล่านี้: รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก เพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด ขยายฐานลูกค้า พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ตัวอย่างกลยุทธ์ Retail ที่กลุ่มเซ็นทรัลนำมาใช้: Omni-channel: ผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ Personalization: นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของ individual Customer experience: มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีของลูกค้า ข้อดีของกลยุทธ์ Retail เหล่านี้: ช่วยให้กลุ่มเซ็นทรัลเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ สรุป: กลุ่มเซ็นทรัลกำลังปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลด้วยกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การปรับโครงสร้างองค์กร การนำเทคโนโลยีมาใช้ การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้า กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้กลุ่มเซ็นทรัลรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก เพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้า และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56765
Retail
สำหรับ CPN ได้วางกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Global Preferred Destination ด้วย 3 กลยุทธ์ ได้แก่อะไรบ้าง
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำสร้าง Tourism Ecosystem ยิ่งใหญ่ที่สุดทั่วประเทศ ขานรับนโยบายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นท่องเที่ยวทั้งระบบทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ ผ่านแคมเปญ “The Great Collaboration for Thailand’s Tourism Ecosystem” รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผลักดันรายได้ของประเทศที่ตั้งเป้าไว้กว่า 800,000 ล้านบาท พร้อมกลยุทธ์ชูศูนย์การค้าเป็น Cross-Region Platform กระตุ้นท่องเที่ยวเมืองหลักเมืองรอง-กระจายรายได้ รวมถึงอัดโปรโมชันดึงดูด และกระตุ้นการใช้จ่ายทัวร์ริสต์ ทั้งในและนอกประเทศ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 สาขาทั่วประเทศ โดยมีพันธมิตรชั้นนำร่วมผนึกกำลัง ได้แก่ TCEB, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ออนไลน์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, โรงแรมและรีสอร์ทในเครือ CENTARA, โรงแรม Siam Kempinski สายการบินบางกอกแอร์เวย์, คริสพลัส และพีลาโก้โดยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์, สายการบินไทย, สายการบินไทยสมายล์, สายการบินเวียตเจ็ทแอร์ สถาบันการเงิน บัตรเครดิต และ Payment ออนไลน์แพลตฟอร์ม Alipay, JCB, Mastercard, UnionPay, WeChat Pay เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ TRUE Corporation และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซการท่องเที่ยว KLOOK สำหรับ CPN ได้วางกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Global Preferred Destination ด้วย 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 Stimulate Spending & Spread income ชูบทบาทศูนย์การค้าเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยง Retail & Tourism Ecosystem เข้าด้วยกัน เพื่อเติมเต็มการท่องเที่ยวทั้งระบบ ด้วยจุดแข็งของศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่มีสาขาทั่วประเทศ โดยมี 19 สาขา อยู่ใน 15 จังหวัดท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยสิ่งที่จะทำเพื่อช่วยเติมเต็มภาคท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดงานโปรโมตการท่องเที่ยว, งาน Hotel Fair, OTOP Market, โปรแกรมท่องเที่ยวชุมชนได้ทั่วประเทศแบบ Cross-Region เช่น งานท่องเที่ยวภาคใต้จัดที่เซ็นทรัลเวิลด์ หรือการจัดงานที่ภูเก็ต เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ ให้มาเที่ยวภูเก็ต พร้อมจับมือพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ดีไซน์ Customer Journey ตั้งแต่ Pre-arrival stage ไปจนถึง Mall arrival stage กระจายรายได้ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใน ecosystem พร้อมทั้งกระตุ้นท่องเที่ยว local community ไปจนถึงจังหวัดใกล้เคียง โดยร่วมกับ -ภาครัฐ ตั้งแต่ Tourism Sandbox, ร่วมกับททท. สำนักงานต่างประเทศ ดูไบ และฮ่องกง จัดทำ Fam Trip รวมถึง Co- Promotion ต่าง ๆ กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว -TCEB รองรับธุรกิจ MICE ซึ่งในอนาคตภาครัฐอาจต้องส่งเสริมการเป็นเจ้าภาพหรือ host งานระดับโลกมากขึ้น -สถาบันการเงิน บัตรเครดิต รวมถึง Payment online platform ใน Ecosystem ทั้งระบบ อาทิ Mastercard รับของพรีเมียมเมื่อช้อปตามที่กำหนด และโปรแกรม cash back/ และ JCB, UnionPay, Alipay, WeChat Pay มอบสิทธิพิเศษ และโปรแกรมส่วนลดแบบอัดแน่น -จัดทำ Welcome Package ร่วมกับร้านค้าในศูนย์ฯ และกลุ่มเซ็นทรัล เช่น ส่วนลดพิเศษจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Tops Market, Tops Online, Central Food Hall และส่วนลดจากร้านค้า-ร้านอาหารในศูนย์ฯ มูลค่ารวมกว่า 5,000 บาท และร่วมกับกลุ่มพันธมิตรโรงแรม มอบ Welcome Package นี้ให้ลูกค้าเมื่อเข้าพักที่โรงแรมต่าง ๆ รอบศูนย์ฯ -TRUE Corporation สนับสนุนฟรีซิมการ์ดและ WiFi มอบให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกท่านที่มาศูนย์การค้า -สายการบินชั้นนำ ทั้ง Bangkok Airways, Kris+ และ Pelago by Singapore Airlines, Thai Airways, Thai Smile และ VietJet Air เพียงแสดง Boarding Pass เมื่อมาที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล รับสิทธิพิเศษ เช่น Voucher ส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Tops Market, Central Food Hall และ TOPS Online พร้อมรับคูปองฟรีเมนูอาหารไทยต้นตำรับเมื่อช็อปครบตามมูลค่าที่กำหนด และพิเศษสิทธิ์เข้าใช้บริการ The Exclusive Lounge 1 ครั้ง 4 สำหรับ 2 ท่าน ณ The Exclusive Lounge เฉพาะสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลวิลเลจ และสาขาเซ็นทรัลภูเก็ตสำหรับลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิกสายการบิน -Travel แพลตฟอร์มออนไลน์ KLOOK จัดโปรฯ เฉพาะลูกค้าต่างชาติ รับฟรี Starbucks e-Coupon มูลค่า 100 บาท เมื่อใช้จ่ายครบ 2,000 บาท, ฟรี KLOOK discount code มูลค่า 200 บาท เมื่อใช้จ่ายครบ 2,000 บาทที่เซ็นทรัล อยุธยา และ 2,500 บาทที่เซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทรัล ภูเก็ต พร้อมจัดพื้นที่จุด Pick Up & Drop Off One Day Tour เพื่อบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล อยุธยา อีกทั้งยังเปิดให้บริการ KLOOK Downtown Service Counter บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ กลยุทธ์ที่ 2 Springboard Rising Cities ขยายโครงการต่อเนื่อง ปั้นเมือง Rising Cities โปรโมตเมืองรอง จับคู่กับเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ - ไปอยุธยา – สุโขทัย, เชียงใหม่ - ไปลำพูน – ลำปาง, ภูเก็ต – ไปกระบี่ พร้อมชูจุดแข็งโครงการเซ็นทรัลที่เป็น Fully-Integrated Mixed-Use Development ครบวงจรทั้งศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโดมิเนียม, คอนเวนชันฮอลล์, ออฟฟิศ ยกตัวอย่างโมเดลปั้นเมืองรองได้ประสบความสำเร็จ เช่น เซ็นทรัล อยุธยา และจันทบุรี ที่ยกระดับการท่องเที่ยวเมืองได้ทั้งระบบ พร้อมดึง local essence สร้างแลนด์มาร์กใหม่ให้เมืองผ่านดีไซน์ของโครงการ รวมถึงเข้าไป Engage กับชุมชน ร่วมกันชูเสน่ห์และจุดเด่นของจังหวัดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยสร้าง Local Wealth กระจายรายได้สู่ผู้คนในชุมชนได้จริง พร้อมจับมือพันธมิตรดีไซน์โปรแกรมท่องเที่ยวแบบอยู่นาน สร้าง Facilities Infrastructure ที่ส่งเสริมให้ท่องเที่ยวได้นานขึ้น เช่น ภาคใต้มีภูเก็ต เด่นเรื่องท่องเที่ยวในแบบ Luxury & Leisure / เชียงใหม่ เชียงราย สร้างเป็น Art Region กลยุทธ์ที่ 3 Spotlight on Global Shopping Destination ผลักดันกรุงเทพฯ และภูเก็ตเป็นเมือง ช็อปปิงระดับโลก พัฒนา shopping destination หลากหลายฟอร์แมตเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกประเภท เช่น เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ เอาท์เล็ต แห่งแรกของไทย, เซ็นทรัล ภูเก็ต ลักชูรี่ มอลล์ แห่งเดียวในเมืองท่องเที่ยวระดับโลกของไทย, เซ็นทรัลเวิลด์ – ไลฟ์สไตล์เดสติเนชันแลนด์มาร์กจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่สร้าง ปรากฏการณ์ระดับโลกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมรีโนเวตโซนใหม่ ต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งโซน I (โซน ไอ) และ โซน Hug Thai Hug Craft จุดจำหน่ายสินค้าชุมชนและของฝาก, ตลาดจริงใจมาร์เก็ต จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรในชุมชนทั่วประเทศ และ Tourist Malls ในจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศมากกว่า 15 สาขา เช่น เซ็นทรัล อยุธยา, เซ็นทรัล พัทยา, เซ็นทรัล เชียงใหม่, เซ็นทรัล สมุย โดยในทุกศูนย์การค้า ส่งเสริมการจัด Festive events ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ และเคาท์ดาวน์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้าง Reason to visit นอกจากนี้ ยังมีจุดบริการ Full Service Downtown VAT Refund ณ ศูนย์การค้าเดสติเนชัน 3 สาขา ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล วิลเลจ และ เซ็นทรัล พระราม 9 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
กลยุทธ์ที่ 1 Stimulate Spending & Spread income ชูบทบาทศูนย์การค้าเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยง Retail & Tourism Ecosystem เข้าด้วยกัน เพื่อเติมเต็มการท่องเที่ยวทั้งระบบ ด้วยจุดแข็งของศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่มีสาขาทั่วประเทศ โดยมี 19 สาขา อยู่ใน 15 จังหวัดท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยสิ่งที่จะทำเพื่อช่วยเติมเต็มภาคท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดงานโปรโมตการท่องเที่ยว, งาน Hotel Fair, OTOP Market, โปรแกรมท่องเที่ยวชุมชนได้ทั่วประเทศแบบ Cross-Region เช่น งานท่องเที่ยวภาคใต้จัดที่เซ็นทรัลเวิลด์ หรือการจัดงานที่ภูเก็ต เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ ให้มาเที่ยวภูเก็ต พร้อมจับมือพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ดีไซน์ Customer Journey ตั้งแต่ Pre-arrival stage ไปจนถึง Mall arrival stage กระจายรายได้ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใน ecosystem พร้อมทั้งกระตุ้นท่องเที่ยว local community ไปจนถึงจังหวัดใกล้เคียง โดยร่วมกับ - ภาครัฐ ตั้งแต่ Tourism Sandbox, ร่วมกับททท. สำนักงานต่างประเทศ ดูไบ และฮ่องกง จัดทำ Fam Trip รวมถึง Co- Promotion ต่าง ๆ กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว - TCEB รองรับธุรกิจ MICE ซึ่งในอนาคตภาครัฐอาจต้องส่งเสริมการเป็นเจ้าภาพหรือ host งานระดับโลกมากขึ้น - สถาบันการเงิน บัตรเครดิต รวมถึง Payment online platform ใน Ecosystem ทั้งระบบ อาทิ Mastercard รับของพรีเมียมเมื่อช้อปตามที่กำหนด และโปรแกรม cash back/ และ JCB, UnionPay, Alipay, WeChat Pay มอบสิทธิพิเศษ และโปรแกรมส่วนลดแบบอัดแน่น - จัดทำ Welcome Package ร่วมกับร้านค้าในศูนย์ฯ และกลุ่มเซ็นทรัล เช่น ส่วนลดพิเศษจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Tops Market, Tops Online, Central Food Hall และส่วนลดจากร้านค้า-ร้านอาหารในศูนย์ฯ มูลค่ารวมกว่า 5,000 บาท และร่วมกับกลุ่มพันธมิตรโรงแรม มอบ Welcome Package นี้ให้ลูกค้าเมื่อเข้าพักที่โรงแรมต่าง ๆ รอบศูนย์ฯ - TRUE Corporation สนับสนุนฟรีซิมการ์ดและ WiFi มอบให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกท่านที่มาศูนย์การค้า - สายการบินชั้นนำ ทั้ง Bangkok Airways, Kris+ และ Pelago by Singapore Airlines, Thai Airways, Thai Smile และ VietJet Air เพียงแสดง Boarding Pass เมื่อมาที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล รับสิทธิพิเศษ เช่น Voucher ส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Tops Market, Central Food Hall และ TOPS Online พร้อมรับคูปองฟรีเมนูอาหารไทยต้นตำรับเมื่อช็อปครบตามมูลค่าที่กำหนด และพิเศษสิทธิ์เข้าใช้บริการ The Exclusive Lounge 1 ครั้ง 4 สำหรับ 2 ท่าน ณ The Exclusive Lounge เฉพาะสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลวิลเลจ และสาขาเซ็นทรัลภูเก็ตสำหรับลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิกสายการบิน - Travel แพลตฟอร์มออนไลน์ KLOOK จัดโปรฯ เฉพาะลูกค้าต่างชาติ รับฟรี Starbucks e-Coupon มูลค่า 100 บาท เมื่อใช้จ่ายครบ 2,000 บาท, ฟรี KLOOK discount code มูลค่า 200 บาท เมื่อใช้จ่ายครบ 2,000 บาทที่เซ็นทรัล อยุธยา และ 2,500 บาทที่เซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทรัล ภูเก็ต พร้อมจัดพื้นที่จุด Pick Up & Drop Off One Day Tour เพื่อบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล อยุธยา อีกทั้งยังเปิดให้บริการ KLOOK Downtown Service Counter บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ กลยุทธ์ที่ 2 Springboard Rising Cities ขยายโครงการต่อเนื่อง ปั้นเมือง Rising Cities โปรโมตเมืองรอง จับคู่กับเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ - ไปอยุธยา – สุโขทัย, เชียงใหม่ - ไปลำพูน – ลำปาง, ภูเก็ต – ไปกระบี่ พร้อมชูจุดแข็งโครงการเซ็นทรัลที่เป็น Fully-Integrated Mixed-Use Development ครบวงจรทั้งศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโดมิเนียม, คอนเวนชันฮอลล์, ออฟฟิศ ยกตัวอย่างโมเดลปั้นเมืองรองได้ประสบความสำเร็จ เช่น เซ็นทรัล อยุธยา และจันทบุรี ที่ยกระดับการท่องเที่ยวเมืองได้ทั้งระบบ พร้อมดึง local essence สร้างแลนด์มาร์กใหม่ให้เมืองผ่านดีไซน์ของโครงการ รวมถึงเข้าไป Engage กับชุมชน ร่วมกันชูเสน่ห์และจุดเด่นของจังหวัดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยสร้าง Local Wealth กระจายรายได้สู่ผู้คนในชุมชนได้จริง พร้อมจับมือพันธมิตรดีไซน์โปรแกรมท่องเที่ยวแบบอยู่นาน สร้าง Facilities Infrastructure ที่ส่งเสริมให้ท่องเที่ยวได้นานขึ้น เช่น ภาคใต้มีภูเก็ต เด่นเรื่องท่องเที่ยวในแบบ Luxury & Leisure / เชียงใหม่ เชียงราย สร้างเป็น Art Region กลยุทธ์ที่ 3 Spotlight on Global Shopping Destination ผลักดันกรุงเทพฯ และภูเก็ตเป็นเมือง ช็อปปิงระดับโลก พัฒนา shopping destination หลากหลายฟอร์แมตเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกประเภท เช่น เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ เอาท์เล็ต แห่งแรกของไทย, เซ็นทรัล ภูเก็ต ลักชูรี่ มอลล์ แห่งเดียวในเมืองท่องเที่ยวระดับโลกของไทย, เซ็นทรัลเวิลด์ – ไลฟ์สไตล์เดสติเนชันแลนด์มาร์กจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่สร้าง ปรากฏการณ์ระดับโลกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมรีโนเวตโซนใหม่ ต้อนรับนักท่องเที่ยว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56772
Retail
จากมาตรการ 5 ข้อที่ธนาคารกรุงไทยออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกค้า มีกลยุทธ์อะไรบ้างที่มุ่งเป้าไปที่การช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีก (Retail) โดยเฉพาะ?
null
ธนาคารกรุงไทยมีกลยุทธ์หลายประการในการช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีก (Retail) ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ดังนี้ 1. สินเชื่อฟื้นฟู: - ธนาคารกรุงไทยเสนอสินเชื่อฟื้นฟูสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่มีศักยภาพ อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี ใน 2 ปีแรก (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปี ไม่เกิน 5% ต่อปี) ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี - สินเชื่อนี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมีสภาพคล่องเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ ชำระหนี้สินที่มีอยู่ หรือลงทุนเพื่อปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ 2. มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้: - ธนาคารกรุงไทยเสนอมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ให้กับธุรกิจค้าปลีกที่มีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน - ธุรกิจค้าปลีกสามารถโอนทรัพย์สินให้กับธนาคารเพื่อชำระหนี้ และได้รับสิทธิซื้อทรัพย์คืนในอนาคต - มาตรการนี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถลดภาระทางการเงินชั่วคราว ในช่วงที่รอให้ธุรกิจฟื้นตัว 3. สินเชื่อธุรกิจเพื่อเสริมสภาพคล่อง: - ธนาคารกรุงไทยเสนอสินเชื่อธุรกิจเพื่อเสริมสภาพคล่อง ให้กับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน - สินเชื่อนี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่อง 4. การให้คำปรึกษาทางการเงิน: - ธนาคารกรุงไทยมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ธุรกิจค้าปลีก - ธนาคารสามารถช่วยวิเคราะห์ปัญหาทางการเงิน และแนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม 5. การสนับสนุนการใช้ช่องทางออนไลน์: - ธนาคารกรุงไทยสนับสนุนให้ธุรกิจค้าปลีกใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้า - ธนาคารมีบริการด้าน Digital Banking ที่หลากหลาย ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: - ธุรกิจค้าปลีกสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ - ธุรกิจค้าปลีกสามารถรักษาการจ้างงาน - ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับความช่วยเหลือ: - ห้างสรรพสินค้า - ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก - ร้านอาหาร - ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บทสรุป: ธนาคารกรุงไทยมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ธนาคารมีกลยุทธ์หลายประการที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ธนาคารมุ่งหวังที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ และสามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56773
Retail
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไทยบางส่วนเริ่มกลับมาหลังการผ่อนคลาย lockdown และมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จริงหรือไม่
null
ไม่ EIC วิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์แบบ high frequency ที่สามารถบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันได้เร็วกว่าข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคทั่วไป พบว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในไทยบางส่วนเริ่มกลับมาหลังการผ่อนคลาย lockdown แต่ยังเป็นการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และยังซบเซากว่าช่วงก่อนวิกฤติ COVID-19 ค่อนข้างมาก มาตรการ lockdown ที่ถูกนำมาใช้ควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 และทำให้เศรษฐกิจหลายส่วนหยุดชะงักไปนั้น ได้เริ่มทยอยผ่อนคลายลงหลังจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยภาครัฐได้มีการผ่อนคลายในระยะที่หนึ่งไปเมื่อวันที่ 3 พ.ค. และระยะที่สองเมื่อวันที่ 17 พ.ค. เพื่อให้กิจการหลายประเภทสามารถกลับมาให้บริการอีกครั้ง EIC พบว่าหลังการผ่อนคลายนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนได้เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางออกนอกบ้านที่มีเพิ่มมากขึ้น การเริ่มเปิดให้บริการของธุรกิจทั้งห้างร้านและโรงแรม รวมไปถึงการเริ่มกลับมาประกาศจ้างงานของหลาย ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค โดยรายละเอียดของแต่ละชุดข้อมูลมีดังนี้ ข้อมูล Community Mobility Reports ของ Google บ่งชี้คนเดินทางออกนอกบ้านมากขึ้นหลังคลาย lockdown Google เปิดเผยข้อมูลการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของคนในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเดินทางออกนอกบ้านของคนไทยได้ลดลงอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 สูง และยังมีการบังคับใช้มาตรการ lockdown ที่เข้มงวด เช่น การเดินทางไปยังสถานีขนส่ง (transit station) ลดลงเกือบ -70% หรือการเดินทางไปยังสถานที่ประเภทพื้นที่ค้าปลีกและสันทนาการ (retail & recreation) เช่น ห้างสรรพสินค้าที่ลดลงกว่า -50% ในช่วงประมาณต้นเดือน เม.ย. เทียบกับปริมาณการเดินทางในช่วงต้นปี แต่หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มลดต่ำลงประกอบกับมาตรการ lockdown เริ่มผ่อนคลาย การเดินทางออกนอกบ้าน ไปยังสถานที่ต่าง ๆ จึงเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด อย่างไรก็ดี จากข้อมูลล่าสุดในช่วงกลางเดือน พ.ค. กิจกรรมการเดินทางในภาพรวมส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตัวเลขช่วงต้นปี โดยมีเพียงการเดินทางไปยังสถานที่ประเภทร้านค้าและร้านขายยา (grocery & pharmacy) เท่านั้นที่กลับมาเท่าช่วงก่อน lockdown ขณะที่การเดินทางออกจากบ้านไปยังสถานที่ต่าง ๆ ยังคงลดลงเฉลี่ย -22.8% ถึง -39.5%
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56775
Retail
กลยุทธ์ Retail-Led Mixed-Use Development ของเซ็นทรัลพัฒนา จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก
null
ใช่ เหตุผล: กลยุทธ์ Retail-Led Mixed-Use Development เป็นการผสมผสานศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมเข้าไว้ด้วยกัน - กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้า จากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย - กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการจับจ่ายใช้สอย ของลูกค้า - กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้ง ที่ครบวงจร - กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มรายได้ ให้กับธุรกิจค้าปลีก หลักฐานเพิ่มเติม: - เซ็นทรัลพัฒนา รายงานผลประกอบการประจำปี 2565 เติบโต 28% จากปีก่อน - ศูนย์การค้าเซ็นทรัล มีจำนวนผู้เข้าชม (Traffic) เพิ่มขึ้น - ร้านค้าในศูนย์การค้าเซ็นทรัล มีมียอดขายเพิ่มขึ้น - ลูกค้ามีความพึงพอใจ กับประสบการณ์การช้อปปิ้งในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ข้อสรุป: จากหลักฐานทั้งหมดข้างต้น ยืนยันได้ว่า กลยุทธ์ Retail-Led Mixed-Use Development ของเซ็นทรัลพัฒนา จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก ผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก: - ดึงดูดลูกค้า - เพิ่มโอกาสในการจับจ่ายใช้สอย - สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้ง - เพิ่มรายได้ ตัวอย่าง: - ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มีทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม - ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ มีทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และโรงแรม - ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต มีทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม กลยุทธ์ Retail-Led Mixed-Use Development เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกสู่อนาคต
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56776
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ จำเป็นต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าอย่างรอบด้าน
null
แสงตะวันตกสาดส่อง ราชพฤกษ์เบิกบาน ณ ใจกลางย่านราชพฤกษ์ อดีตพื้นที่รกร้างเงียบสงบ กำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยแสงสีและเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง โครงการ "เซ็นทรัล เวสต์วิลล์" ศูนย์การค้าสุดล้ำสมัย มูลค่ากว่า 6,200 ล้านบาท กำลังก่อตัวขึ้น เปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่าที่จะมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้คนในย่านนี้ "วายุ" หนุ่มนักธุรกิจไฟแรง อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรูใจกลางราชพฤกษ์ ชีวิตของเขาวุ่นวายอยู่กับงาน อดหลับอดนอน กินข้าวไม่ตรงเวลา แทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัว โดยเฉพาะ "เจ้าหลง" สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เพื่อนรักสี่ขาผู้ซื่อสัตย์ วายุเฝ้ามองความเจริญเติบโตของย่านนี้อย่างใจจดใจจ่อ เขาคาดหวังว่าจะมีสถานที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันเร่งรีบ และความต้องการของเขาและเจ้าหลง ในที่สุด วันอันรอคอยก็มาถึง เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ วายุไม่รอช้า รีบพาเจ้าหลงไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ทันที ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ศูนย์การค้า วายุรู้สึกประทับใจกับบรรยากาศที่โปร่งสบาย ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับธรรมชาติอย่างลงตัว แสงแดดสาดส่องผ่านหลังคาโปร่งใส ลงสู่พื้นที่สีเขียวขจี เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ เสียงน้ำพุไหลรินสร้างความผ่อนคลาย ราวกับไม่ได้อยู่ในใจกลางเมือง วายุพาเจ้าหลงเดินเล่นในโซน "The Bonding Park" พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงและครอบครัว บรรยากาศอบอุ่น เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน เจ้าหลงวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานกับสุนัขตัวอื่นๆ วายุยิ้มอย่างมีความสุข เขารู้สึกดีที่ได้พาเจ้าหลงมาที่นี่ ที่ที่เขาสามารถใช้เวลาร่วมกับเพื่อนรักสี่ขาได้อย่างเต็มที่ หลังจากนั้น วายุพาเจ้าหลงไปเติมพลังที่ "Food Destination" แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำมากมาย วายุเลือก "อันเกิม-อันก๋า" ร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์น ที่เจ้าหลงสามารถนั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับเขาได้ เมนูอาหารหลากหลาย รสชาติอร่อย ถูกปากทั้งคนและสัตว์เลี้ยง อิ่มท้องแล้ว วายุพาเจ้าหลงไปช้อปปิ้งที่ "Fashion Zone" เต็มไปด้วยแบรนด์ดังมากมาย วายุเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้าหลง ที่ร้าน "Pet ‘n Me" ร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงครบครัน ก่อนกลับ วายุแวะไปที่ "Westville Cineplex" โรงภาพยนตร์สุดล้ำสมัย เขาจองตั๋วหนังรอบพิเศษ พาเจ้าหลงไปดูหนังด้วยกัน เจ้าหลงนั่งบนตักของเขา ตื่นเต้นกับภาพและเสียงบนจอยักษ์ วายุรู้สึกขอบคุณเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ ที่ทำให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่นี่ไม่ใช่แค่ศูนย์การค้า แต่เป็นสถานที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเขาและเจ้าหลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56779
Retail
Apple ตัดสินใจปรับนโยบายการจ่ายโบนัสและชะลอการจ้างพนักงานใหม่ ฝ่ายขายปลีกจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
ถ้าใครได้ติดตามข่าวสารในวงการเทคโนโลยี คงจะพอทราบกันบ้างว่า ปีนี้และปีที่แล้ว ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี ของบริษัทเทคโนโลยี มากเท่าใดนัก เพราะบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง กำลังอยู่ในช่วงรัดเข็มขัดกัน ประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างหนักหน่วง จนถึงขนาดต้องปลดพนักงานออกไปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Meta, Twitter, Google, Microsoft และ Amazon เป็นต้น อย่างไรก็ตาม Apple กลับกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก เพียงไม่กี่แห่ง ที่ยังไม่ได้มีการประกาศปลดพนักงาน แต่อย่างใด แต่ล่าสุด ดูเหมือนว่า Apple กำลังอยู่ในช่วง “รัดเข็มขัด” ไม่ต่างจากบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ เพราะสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ในขณะนี้ Apple กำลังอยู่ในช่วงรัดเข็มขัด โดยพิจารณางดจ่ายเงินโบนัส ในรอบเดือนเมษายนนี้ ของพนักงานในบางแผนก จากที่แต่เดิม Apple จะมีการจ่ายเงินโบนัส และพิจารณาการเลื่อนขั้น ให้กับพนักงาน 1 - 2 ครั้งต่อปี ในช่วงเดือนเมษายน และเดือนตุลาคม โดยขึ้นอยู่กับแผนก แต่หากข้อมูลที่ Bloomberg ได้รับมาเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า Apple จะไม่มีการจ่ายเงินโบนัส ให้กับพนักงาน ในรอบเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ แต่จะไปได้รับโบนัส ทุก ๆ 1 ปี ในช่วงเดือนตุลาคม แทน นอกจากนี้ มีการรายงานด้วยว่า ในขณะนี้ Apple มีการจ่ายเงินโบนัส ให้พนักงานในหลาย ๆ แผนก ปีละ 1 ครั้ง แทนที่จะจ่ายเงินโบนัส ปีละ 2 ครั้ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยกเว้นพนักงาน สายปฎิบัติการ (Operation) และค้าปลีก (Corporate Retail) ที่ยังคงได้รับเงินโบนัส ปีละ 2 ครั้ง อยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม Bloomberg ระบุด้วยว่า พนักงานของ Apple จะยังคงได้รับเงินโบนัส เป็นจำนวนเงินเท่าเดิม เพียงแต่ปรับรอบการจ่ายโบนัส เหลือเพียง 1 ครั้งต่อปี แทน แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า การปรับรอบการจ่ายเงินโบนัส ก็ส่งผลต่อพนักงานของ Apple ไม่น้อย เพราะพนักงานบางคน ได้เตรียมวางแผนที่จะนำเงินโบนัสในรอบเดือนเมษายนนี้ ไปใช้จ่าย เหมือนอย่างปีที่ผ่านมา.. นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ด้วยว่า การที่ Apple เลือกจ่ายเงินโบนัส ในช่วงเดือนตุลาคม เพียงครั้งเดียว จะสามารถช่วยป้องกันการลาออกของพนักงาน หลังจากได้รับเงินโบนัส ในช่วงเดือนเมษายนนี้ ได้อีกด้วย รวมถึงพนักงานของ Apple เอง ยังระบุว่า Apple มีการชะลอการจ้างพนักงานใหม่เพิ่มเติม โดยหากมีพนักงานเก่าลาออกไป ก็จะปล่อยให้ตำแหน่งงานนั้นว่างไปก่อน โดยยังไม่จ้างพนักงานใหม่เพิ่มเติม เป็นการชั่วคราว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ Apple ตัดสินใจ เปลี่ยนรอบการจ่ายเงินโบนัส จาก 2 ครั้ง เหลือ 1 ครั้งต่อปี รวมถึงชะลอการจ้างพนักงาน เป็นการชั่วคราว ก็เป็นเพราะ Apple ต้องการรัดเข็มขัด รวมถึงหลีกเลี่ยงการปลดพนักงานเป็นจำนวนมาก อย่างที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ ทำ รวมถึง ทิม คุก CEO ของ Apple ก็ได้ให้ข้อมูลในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยว่า Apple ต้องระมัดระวังเรื่องการเงินเป็นพิเศษ แต่ ทิม คุก ก็ยืนยันว่า Apple จะยังลงทุนในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เช่นเดิม.. อ้างอิง :
Apple ตัดสินใจปรับนโยบายการจ่ายโบนัสและชะลอการจ้างพนักงานใหม่ ซึ่งนโยบายนี้อาจส่งผลกระทบต่อพนักงานฝ่ายขายปลีก ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อรายได้ -พนักงานฝ่ายขายปลีกจะได้รับเงินโบนัสเพียงปีละ 1 ครั้ง แทนที่จะเป็น 2 ครั้งต่อปี -การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อรายได้รวมของพนักงาน -พนักงานบางคนอาจต้องหาวิธีหารายได้เสริมเพิ่มเติม -รายได้ที่ลดลงอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของพนักงาน -ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม 2. ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจ -พนักงานอาจรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ -พนักงานอาจมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในบริษัทอื่น -การสูญเสียพนักงานที่มีประสบการณ์อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของร้านค้า -บรรยากาศการทำงานอาจตึงเครียด 3. ผลกระทบต่อการบริการลูกค้า -พนักงานที่ทำงานหนักอาจรู้สึกเหนื่อยล้า -ส่งผลต่อคุณภาพการบริการลูกค้า -ลูกค้าอาจรู้สึกไม่พอใจ -ภาพลักษณ์ของ Apple อาจได้รับผลเสีย 4. ผลกระทบต่อยอดขาย -ลูกค้าอาจรู้สึกไม่พอใจกับบริการ -ส่งผลต่อยอดขาย -Apple อาจสูญเสียลูกค้า อย่างไรก็ตาม Apple ยังไม่ได้ประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการ regarding การปรับเปลี่ยนการจ่ายโบนัสและการชะลอการจ้างพนักงานใหม่ ซึ่งนโยบายนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ Apple ยังมีแผนก Corporate Retail ที่ดูแลเรื่องการขายปลีกโดยเฉพาะ ซึ่งนโยบายนี้อาจส่งผลต่อพนักงานในแผนกนี้แตกต่างออกไป โดยสรุปแล้ว นโยบายการจ่ายโบนัสและการชะลอการจ้างพนักงานใหม่ของ Apple อาจส่งผลกระทบต่อพนักงานฝ่ายขายปลีกในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ ขวัญกำลังใจ การบริการลูกค้า และยอดขาย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56798
Retail
กลยุทธ์ "Retailing Beyond Fuel" ของ PTT Station มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
กลยุทธ์ "Retailing Beyond Fuel" ของ PTT Station ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายด้าน ดังนี้: 1. การขยายฐานลูกค้า: - การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค - ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่ไม่ได้มองหาแค่บริการเติมน้ำมัน - ขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น 2. การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: - สร้างรายได้จากช่องทางใหม่ ๆ - เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการอื่น ๆ - สร้างรายได้เสริมจากธุรกิจหลัก 3. การเสริมสร้างภาพลักษณ์: - ยกระดับภาพลักษณ์ PTT Station จากสถานีบริการน้ำมัน - สู่ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค - สร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า 4. การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: - กลยุทธ์ "Retailing Beyond Fuel" - เป็นจุดแข็งที่ทำให้ PTT Station แตกต่างจากคู่แข่ง - สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน 5. การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน: - สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น - ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน - สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ตัวอย่าง: - PTT Station เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายโดยตรง - จัดตลาดวิถีชุมชน นำสินค้าท้องถิ่นมาจำหน่าย - สนับสนุนโครงการไทยเด็ด คัดของเด็ดจากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศมาจำหน่าย โดยสรุป กลยุทธ์ "Retailing Beyond Fuel" ของ PTT Station ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายด้าน - ด้านการขยายฐานลูกค้า: ช่วยให้ PTT Station เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น - ด้านการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: ช่วยให้ PTT Station สร้างรายได้จากช่องทางใหม่ ๆ เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการอื่น ๆ - ด้านการเสริมสร้างภาพลักษณ์: ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ PTT Station สู่ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ - ด้านการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: ช่วยให้ PTT Station แตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน - ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน: ช่วยให้ PTT Station สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน กลยุทธ์ "Retailing Beyond Fuel" จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับ PTT Station ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด "Living Community" ของ OR ซึ่งมุ่งเน้นการเติบโตไปพร้อมกับชุมชนและสังคม PTT Station จึงไม่ใช่แค่สถานีบริการน้ำมัน แต่เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ ที่เติมเต็มทุกความสุข และ สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56809
Retail
สรุปบทความเรื่อง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) แผนที่จะขยาย Café Amazon ไปต่างประเทศ ให้หน่อย
ล่าสุด บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ได้มีแผนที่จะขยาย Café Amazon เชนร้านกาแฟในเครือของบรฺิษัท ไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยตั้งเป้าจำนวนสาขาในต่างประเทศที่ 1,000 สาขา ภายในปี 2025 และ Café Amazon ตั้งเป้าว่าในปีนั้น แบรนด์จะมีรายได้ทั้งหมดอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบัน Café Amazon มีจำนวนสาขาอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด 298 สาขา โดยการรุกตลาดครั้งนี้ จะเป็นการเข้าไปทำข้อตกลงแฟรนไชส์ ร่วมกับผู้ประกอบการร้านอาหารท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ และทาง OR จะรับผิดชอบในส่วนของการทำการตลาด รวมไปถึงการคิดเมนูใหม่ ๆ เพื่อให้เข้าถึงคนในท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งทางบริษัทจะมีทีมพิเศษที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อการพัฒนาแฟรนไชส์โดยเฉพาะ
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะขยาย Café Amazonปยังต่างประเทศ ตั้งเป้าจำนวนสาขาในต่างประเทศที่ 1,000 สาขา ภายในปี 2025 ซึ่ง Café Amazon มีสาขาอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด 298 สาขา โดยการรุกตลาดครั้งนี้ จะเป็นการเข้าไปทำข้อตกลงแฟรนไชส์ ร่วมกับผู้ประกอบการร้านอาหารท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ รับผิดชอบในส่วนของการทำการตลาด รวมไปถึงการคิดเมนูใหม่ ๆ เพื่อให้เข้าถึงคนในท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56811
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การออกแบบที่ดี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความสวยงาม แต่ต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้ การออกแบบที่เน้น "Customer Experience" จะสร้างความประทับใจ และนำไปสู่การตัดสินใจ
null
แสงไฟแห่งแรงบันดาลใจ ณ ใจกลางเมืองใหญ่ แสงไฟส่องประกายระยิบระยับ สะท้อนผ่านดีไซน์ล้ำสมัยของอาคาร บนถนนพัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ที่นี่คือ "BMW Millennium Auto" แฟลกชิปโชว์รูมแห่งใหม่ ภายใต้การออกแบบโดย "V2 Design Studio" ที่พร้อมมอบประสบการณ์เหนือระดับ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พิมพ์ หญิงสาววัยทำงาน กำลังมองหารถยนต์คันใหม่เพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบ เธอตัดสินใจแวะเวียนไปยังโชว์รูม BMW Millennium Auto เพียงแรกก้าวเท้าเข้ามา บรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย ต่างจากโชว์รูมทั่วไปก็ดึงดูดความสนใจของเธอ คุณวิสูตร สุขพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท V2 Design Studio อธิบายถึงแนวคิดการออกแบบที่เน้น "Customer Experience" เป็นหัวใจสำคัญ การออกแบบพื้นที่ให้เชื่อมต่อเป็นมุมกว้าง คล้ายแกลเลอรี่ แทรกด้วยพื้นที่รับรองลูกค้า "Customer Stage" สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก พิมพ์เดินชมโชว์รูมอย่างเพลิดเพลิน การออกแบบแสง สี เสียง ล้วนสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย เธอจิบกาแฟหอมกรุ่น นั่งอ่านนิตยสารบนโซฟานุ่มสบาย ราวกับอยู่ห้องนั่งเล่นส่วนตัว เด็ก ๆ ที่มาพร้อมกับเธอ ก็สนุกสนานกับพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ คุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจาก BMW Millennium Auto พาพิมพ์ชมรถยนต์รุ่นต่าง ๆ อธิบายรายละเอียดอย่างเป็นมิตร พิมพ์รู้สึกประทับใจกับการบริการที่เปี่ยมด้วยความรู้ และความใส่ใจ ความพิเศษของโชว์รูมแห่งนี้อยู่ที่ชั้นลอย ที่ออกแบบให้สามารถมองเห็นวิวแบบ 360 องศา แสงธรรมชาติสาดส่องผ่านช่องหลังคา สร้างความรู้สึกโปร่งสบาย พิมพ์รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งอนาคต ไฮไลท์อีกจุดคือห้องส่งมอบรถยนต์ ที่ออกแบบให้มีความโอ่อ่า หรูหรา พร้อมจอแอลอีดีขนาดใหญ่ บันทึกช่วงเวลาอันน่าจดจำ พิมพ์จินตนาการถึงวันที่เธอจะมารับรถคันใหม่ ณ ห้องพิเศษนี้ BMW Millennium Auto ไม่ได้เป็นเพียงโชว์รูมที่ขายรถยนต์ แต่เป็นสถานที่ที่มอบประสบการณ์เหนือระดับ ผสมผสานความล้ำสมัย ความสะดวกสบาย และความอบอุ่น เสมือนบ้านหลังที่สอง พิมพ์รู้สึกประทับใจกับโชว์รูมแห่งนี้ มากกว่าดีไซน์ที่สวยงาม ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ แรงบันดาลใจจากการออกแบบที่เน้น "Customer Experience" ทำให้เธอรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ BMW และพร้อมที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์คันใหม่จากโชว์รูมแห่งนี้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56815
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....รอยยิ้มแห่งบ้าน เกิดขึ้นได้จากการเลือกสรรสิ่งของที่เหมาะสม บรรยากาศที่อบอุ่น และความใส่ใจ
null
รอยยิ้มแห่งบ้าน ณ ใจกลางเมืองจันทบุรี แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล จันทบุรี เผยให้เห็นร้าน บีเอ็นบี โฮม สาขาใหม่ล่าสุด ที่เต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิดสำหรับตกแต่งบ้าน ณิชา หญิงสาววัย 28 ปี กำลังเดินวนเวียนอยู่ภายในแผนกเฟอร์นิเจอร์ ใบหน้าของเธอดูครุ่นคิด ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงการออกแบบห้องนอนใหม่ "กำลังมองหาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?" เสียงทุ้มนุ่มของพนักงานขายคนหนึ่งดังขึ้น ณิชาหันขวับไปตามเสียง พบกับชายหนุ่มหน้ายิ้มแย้ม แนะนำตัวว่าชื่อ ก้อง "ฉันกำลังมองหาเตียงนอนใหม่ค่ะ อยากได้แบบที่เรียบง่าย แต่ดูดี ทนทาน และราคาไม่แพง" ณิชาอธิบายความต้องการ ก้องพาณิชาเดินชมเตียงนอนหลากหลายแบบ อธิบายรายละเอียดวัสดุ คุณสมบัติ และราคาอย่างละเอียด "เตียงรุ่นนี้น่าจะตรงกับความต้องการของคุณนะครับ" ก้องแนะนำเตียงไม้สตล์โมเดิร์น "เป็นไม้จริง แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์เรียบง่าย เหมาะกับทุกวัย" ณิชานั่งลงบนเตียง ลองสัมผัสเนื้อไม้ รู้สึกชอบในความเรียบง่ายและแข็งแรง "ราคาเท่าไหร่คะ?" ณิชาถาม "ปกติราคา 15,900 บาท แต่ตอนนี้มีโปรโมชั่นลด 10% เหลือ 14,310 บาทครับ" ก้องตอบ ณิชาคิดคำนวณในใจ เงินเก็บของเธอน่าจะเพียงพอ "เอาค่ะ ฉันขอซื้อเตียงรุ่นนี้" ณิชายิ้ม "ยินดีครับ" ก้องยิ้มตอบ หลังจากชำระเงิน ณิชารอรับเตียงนอนที่แผนกบริการ ก้องช่วยเธอตรวจสอบสินค้าและแจ้งรายละเอียดการจัดส่ง "ขอบคุณมากนะคะ" ณิชาขอบคุณก้อง "ด้วยความยินดีครับ หวังว่าคุณจะชอบเตียงนอนใหม่นะครับ" ก้องกล่าว ณิชาเดินออกจากร้าน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้จัดแต่งห้องนอนใหม่ หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ณิชาจัดวางเตียงนอนใหม่เรียบร้อย ห้องนอนดูสวยงาม เรียบง่าย และอบอุ่น เธอนอนลงบนเตียง รู้สึกสบายตัว ผ่อนคลาย รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้า ณิชาคิดขอบคุณก้อง พนักงานขายที่แนะนำเตียงนอนที่เหมาะกับเธอ เธอรู้ดีว่า การจะสร้างรอยยิ้มแห่งบ้าน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวบ้าน แต่ขึ้นอยู่กับการเลือกสรรสิ่งของที่เหมาะสม บรรยากาศที่อบอุ่น และความใส่ใจ และบีเอ็นบี โฮม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มรอยยิ้มแห่งบ้านให้กับเธอ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56819
Retail
ห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ ในประเทศไทยควรหันมาใช้พลังงานสะอาด 100% เหมือนกับ AEON Mall หรือไม่? จงอธิบาย
null
การใช้พลังงานสะอาด 100% มีข้อดีหลายประการ ดังนี้ ลดมลพิษทางอากาศ: การใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้คน และสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน: ในระยะยาว การใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การใช้พลังงานสะอาด แสดงให้เห็นว่าห้างสรรพสินค้ามีความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานสะอาด ยังมีข้อจำกัดบางประการ ดังนี้ ต้นทุนเริ่มต้นสูง: การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตพลังงานสะอาดอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายสูง ความเสถียรของพลังงาน: พลังงานสะอาดบางประเภท เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ มีเสถียรภาพต่ำ ดังนั้น ห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ ในประเทศไทยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ ก่อนตัดสินใจใช้พลังงานสะอาด 100% ขนาดของห้างสรรพสินค้า: ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีพื้นที่เพียงพอสำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ งบประมาณ: ห้างสรรพสินค้าควรมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการลงทุนในระบบพลังงานสะอาด นโยบายของรัฐบาล: รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดหรือไม่ หากห้างสรรพสินค้าสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆ ข้างต้น และตัดสินใจใช้พลังงานสะอาด 100% จะเป็นการส่งผลดีต่อทั้งห้างสรรพสินค้า ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้ายังสามารถพิจารณาแนวทางอื่นๆ ในการลดการใช้พลังงาน ดังนี้ ติดตั้งระบบไฟ LED: ระบบไฟ LED ประหยัดพลังงานกว่าระบบไฟแบบเก่า รณรงค์ให้ผู้บริโภคประหยัดพลังงาน: ห้างสรรพสินค้าสามารถรณรงค์ให้ผู้บริโภคปิดไฟ หรือใช้บันไดแทนลิฟต์ ใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ: ระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ ช่วยปรับอุณหภูมิภายในห้างสรรพสินค้าให้เหมาะสม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญ ห้างสรรพสินค้า ในฐานะที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ควรมีบทบาทนำในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56835
Retail
อธิบายกลยุทธ์ Shoppertainment ที่ร้านค้าปลีกในประเทศไทยสามารถนำไปใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าในยุค Shoppertainment
หัวข้อ รู้จัก Shoppertainment เทรนด์การช็อปปิงยุคใหม่ ที่ต้องเน้น “เอนเทอร์เทนก่อน ค่อยขายของ” ​ หากพูดถึงแพลตฟอร์มที่มาแรงสุดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น “TikTok” ที่เข้ามาแย่งชิงเวลาของผู้ใช้งานจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Facebook, Instagram หรือ YouTube ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมา TikTok ได้รับการจัดอันดับจาก Apple ว่าเป็น “แอปฟรี” ที่มียอดดาวน์โหลดมากที่สุดบน App Store ด้วย โดยปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานทะลุ 1,000 ล้านบัญชีต่อเดือน เลยทีเดียว รู้หรือไม่ว่า นอกจาก TikTok จะเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นแล้ว เมื่อต้นปีที่แล้ว TikTok ก็ได้เปิดตัว “TikTok Shop” ในประเทศไทย เป็นการรุกเข้าสู่การเป็น Social Commerce ที่ผู้ใช้งานสามารถช็อปปิงบนแพลตฟอร์มได้เลย โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่ TikTok ใช้ปั้น Social Commerce เพื่อสู้กับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ก็คือ “Shoppertainment” แล้วกลยุทธ์ Shoppertainment คืออะไร ? และมีโอกาสเติบโตในประเทศไทย ได้ขนาดไหน ? มาหาคำตอบกัน ก่อนอื่นก็ต้องรู้จัก Shoppertainment กันก่อน Shoppertainment เกิดจาก 2 คำศัพท์รวมกัน ก็คือ Entertainment และ Commerce หรือที่มีความหมายว่า “ความบันเทิง” และ “การค้าขาย” พอ 2 คำศัพท์นี้มารวมกันแล้ว จึงหมายถึง การสร้างยอดขายด้วยการเน้นสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าก่อน ควบคู่ไปกับการให้ความรู้หรือข้อแนะนำเกี่ยวกับสินค้า ซึ่งความบันเทิงจะช่วยให้ลูกค้าได้รับสาร (ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า) โดยที่ไม่รู้สึกถึงการยัดเยียดจากแบรนด์มากเกินไป รวมถึงความบันเทิงยังช่วยให้ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์ และทำให้เกิดการจดจำแบรนด์อีกด้วย เมื่อสามารถให้ความบันเทิงกับกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว จึงค่อยทำการเสนอขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอช่องทางในการสั่งซื้อ หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสสนับสนุนหรืออุดหนุนสินค้าของแบรนด์มากขึ้น ดังนั้น จึงสามารถสรุปโมเดลการขายแบบ Shoppertainment ได้สั้น ๆ ว่า “Entertainment First, Commerce Second” หรือก็คือ เน้นการเอนเทอร์เทนก่อน ค่อยขายทีหลัง นั่นเอง.. ตัวอย่างกรณี TikTok ที่บางแอ็กเคานต์มีการใช้กลยุทธ์ Shoppertainment เช่น - เน้นการเอนเทอร์เทนก่อน โดยสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการเต้น ร้องเพลง หรือโชว์ตลก ๆ เพื่อสร้างยอดผู้เข้าชม และยอด Engagement จากนั้นในช่วงท้าย ๆ วิดีโอ จึงค่อย Tie-in สินค้าแบบเนียน ๆ ด้วยการพูดถึง หรือโชว์สินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ Close Ad Close Ad - โปรโมตสินค้าควบคู่ไปกับการเอนเทอร์เทน นั่นก็คือ พูดถึงคุณประโยชน์ของสินค้า แต่แทนที่จะพูดถึงโต้ง ๆ แบบไม่น่าสนใจ กลับสร้างสรรค์มาในรูปแบบสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ เช่น แต่งเป็นเพลงแรป ใส่เพลงหรือดนตรีที่กำลังฮิตเป็นเทรนด์ นอกจาก TikTok ที่มีการใช้กลยุทธ์ Shoppertainment แล้ว ที่ผ่านมา แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ ก็มีการใช้กลยุทธ์นี้เหมือนกัน เช่น Lazada และ Shopee ที่มีฟีเชอร์ไลฟ์สด ให้ร้านค้าสร้างความสนุกแก่ลูกค้า ควบคู่กับการขายสินค้า หรืออย่างกรณีของ “บังฮาซัน” พ่อค้าขายอาหารทะเล จากจังหวัดสตูล ที่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งสร้างไวรัลเพลงฮิตติดหู “จิ้มน้ำจุ้ม และก็จุ้มน้ำจิ้ม” ก็เริ่มต้นจากการไลฟ์สดบน Facebook โดยเน้นการสร้างความสนุกสนานให้กับลูกค้า จนเกิดการสนับสนุนสินค้าในเวลาต่อมา ปัจจุบัน เพจ Facebook ฮาซัน อาหารทะเลตากแห้ง จ.สตูล มีผู้ติดตามถึง 2.1 ล้านคน และสามารถสร้างยอดขายได้หลักล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว.. มาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงพอจะเข้าใจแล้วว่า Shoppertainment คืออะไร คำถามสำคัญต่อมาก็คือ แล้ว Shoppertainment มีโอกาสเติบโตในไทย ได้อีกขนาดไหน ? เรื่องนี้ TikTok ได้ทำการวิจัยมูลค่าตลาด Shoppertainment ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่า - ปี 2022 มีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16.9 ล้านล้านบาท) - คาดว่าในปี 2025 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33.8 ล้านล้านบาท) หรือเปรียบเทียบได้ว่า ปี 2022 การช็อปปิงแบบ Shoppertainment สร้างมูลค่าได้ คิดเป็นเพียง 5% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียแปซิฟิก แต่ในปี 2025 มูลค่าจะเพิ่มขึ้น จนคิดเป็น 30% ของตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียแปซิฟิกเลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือ Shoppertainment จะเติบโตได้เป็นอย่างดี ใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, เวียดนาม และอีกหนึ่งประเทศสุดท้ายก็คือ “ประเทศไทย” ของเรานั่นเอง ถ้าดูเฉพาะไทยแค่เพียงประเทศเดียว พบว่าในปี 2022 ตลาด Shoppertainment มีมูลค่าอยู่ที่ 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.1 แสนล้านบาท) และคาดว่าจะเติบโตสู่มูลค่า 12,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนล้านบาท) ภายในปี 2025 ส่วนสาเหตุที่ทำให้ Shoppertainment เติบโต ทั้งในไทยและเอเชียแปซิฟิก นั่นก็เพราะว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ชอบโฆษณาที่ยัดเยียดสินค้าหรือแบรนด์มากเกินไป ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกเบื่อ และรู้สึกว่าแบรนด์ไม่จริงใจแล้ว ยังส่งผลให้ผู้บริโภคปิดใจกับแบรนด์นั้น ๆ จนเลือกที่จะกดข้ามโฆษณา รวมถึงไม่สนับสนุนสินค้าจากแบรนด์นั้น ๆ อีกด้วย ดังนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยเปิดใจผู้บริโภค ให้รับรู้และเข้าถึงสินค้าได้ ก็คือ “การเอนเทอร์เทน” ให้ลูกค้าสนุก และรู้สึกดีกับคอนเทนต์ของแบรนด์ก่อน แล้วจึงจะขายสินค้าได้นั่นเอง ปิดท้ายด้วยสินค้าที่ไปได้ดีกับกลยุทธ์ Shoppertainment อันดับ 1 สินค้าแฟชั่น อย่างเสื้อผ้าและเครื่องประดับ อันดับ 2 เครื่องสำอางและสกินแคร์ อันดับ 3 อาหารและเครื่องดื่ม เห็นแบบนี้แล้ว แบรนด์หรือร้านค้าที่ขายสินค้าเหล่านี้ ก็สามารถนำกลยุทธ์ Shoppertainment ไปประยุกต์ใช้ได้ทันที ซึ่งเชื่อว่า อย่างน้อย ๆ ก็จะช่วยให้ผู้บริโภครู้จัก และเข้าถึงสินค้า หรือแบรนด์ของเราได้เพิ่มขึ้น ไม่มากก็น้อย.. อ้างอิง:
Shoppertainment เป็นกลยุทธ์การค้าปลีกที่เน้นการสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าก่อนที่จะนำเสนอสินค้า กลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและวิดีโอสั้น ร้านค้าปลีกในประเทศไทยสามารถนำกลยุทธ์ Shoppertainment ไปใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าได้หลายวิธี ดังนี้: 1. สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่สนุกสนานและน่าสนใจ: ร้านค้าปลีกสามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น วิดีโอสั้น ภาพมีม หรือบทความ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกเสื้อผ้าอาจสร้างวิดีโอสอนแต่งตัว หรือร้านค้าปลีกเครื่องสำอางอาจสร้างวิดีโอรีวิวสินค้า คอนเทนต์ควรมีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของร้านค้าปลีก และควรนำเสนอในรูปแบบที่สนุกสนานและน่าติดตาม ร้านค้าปลีกควรติดตามเทรนด์ปัจจุบันและความนิยมของผู้บริโภค เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย 2. ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและวิดีโอสั้น: โซเชียลมีเดียและวิดีโอสั้นเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงลูกค้า ร้านค้าปลีกควรสร้างบัญชีบนแพลตฟอร์มเหล่านี้และโพสต์คอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ ร้านค้าปลีกสามารถใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ เช่น ไลฟ์สด โพสต์ภาพและวิดีโอ หรือสร้างแคมเปญเพื่อดึงดูดลูกค้า ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกอาจจัดไลฟ์สดเพื่อแนะนำสินค้าใหม่ หรือสร้างแคมเปญชิงรางวัลเพื่อกระตุ้นยอดขาย 3. ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์: อินฟลูเอนเซอร์เป็นผู้ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย ร้านค้าปลีกสามารถร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของตน อินฟลูเอนเซอร์สามารถสร้างคอนเทนต์รีวิวสินค้า หรือแนะนำสินค้าให้กับผู้ติดตามของพวกเขา การร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของร้านค้าปลีก จะช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นยอดขาย 4. จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย: ร้านค้าปลีกสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น โปรโมชั่นส่วนลด แจกของรางวัล หรือเกมส์สนุก ๆ กิจกรรมส่งเสริมการขายควรมีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของร้านค้าปลีก และควรนำเสนอในรูปแบบที่สนุกสนานและน่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกอาจจัดกิจกรรมสุ่มแจกรางวัลให้กับลูกค้าที่มาช้อปปิ้ง หรือจัดเกมส์ออนไลน์ให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก 5. มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน: ร้านค้าปลีกควรออกแบบร้านให้สวยงาม น่าดึงดูด และสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน พนักงานขายควรให้บริการลูกค้าด้วยรอยยิ้มและความเป็นมิตร ร้านค้าปลีกสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน เช่น เทคโนโลยี AR หรือ VR
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56836
Retail
บริการ GET FOODHALL มีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ: 1. บริการ GET FOODHALL ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากหลายร้านในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ได้สะดวกยิ่งขึ้น: - ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากหลายร้านในออเดอร์เดียว - เสียค่าส่งครั้งเดียว - ช่วยให้ลูกค้าประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย 2. บริการ GET FOODHALL ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาเมนูที่ต้องการได้ง่ายขึ้น: - ระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งจะแนะนำเมนูให้กับลูกค้าแต่ละคนจากข้อมูลต่างๆ เช่น เวลา โลเคชั่น และ ประวัติการสั่งซื้อที่ผ่านมา - ช่วยให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก 3. บริการ GET FOODHALL ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ได้มากขึ้น: - บริการ GET FOODHALL เปิดให้บริการใน 5 สาขาหลัก - มีแผนขยายบริการให้ครบทั้ง 13 สาขาภายในสิ้นปี 2563 - ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการสั่งอาหารมากขึ้น 4. บริการ GET FOODHALL มีโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า: - ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต SCB M VISA สามารถแลกคะแนน M Point 50 คะแนน แลกรับโค้ดส่วนลดมูลค่า 120 บาท - ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าทดลองใช้งานบริการ 5. กระแสการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่กำลังเติบโต: - บริการ GET FOODHALL ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน - ช่วยให้ร้านอาหารมีโอกาสเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ตัวอย่าง: - ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากร้านอาหารหลายร้านในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ผ่านแอปพลิเคชัน GET ได้ ระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งจะแนะนำเมนูให้กับลูกค้าแต่ละคน - บริการ GET FOODHALL เปิดให้บริการใน 5 สาขาหลัก และมีแผนขยายบริการให้ครบทั้ง 13 สาขาภายในสิ้นปี 2563 - ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต SCB M VISA สามารถแลกคะแนน M Point 50 คะแนน แลกรับโค้ดส่วนลดมูลค่า 120 บาท ข้อจำกัด: 1. บริการ GET FOODHALL ยังมีให้บริการในบางสาขา: - ลูกค้าบางกลุ่มอาจไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ 2. บริการ GET FOODHALL มีค่าส่ง: - ลูกค้าบางกลุ่มอาจไม่ต้องการจ่ายค่าส่ง 3. ร้านอาหารบางร้านอาจไม่เข้าร่วมบริการ GET FOODHALL: - ลูกค้าอาจไม่สามารถสั่งอาหารจากร้านที่ต้องการได้ สรุป: บริการ GET FOODHALL มีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ คำแนะนำ: 1. GET ควรขยายบริการ GET FOODHALL ให้ครบทุกสาขา 2. GET ควรจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้า 3. ร้านอาหารควรเข้าร่วมบริการ GET FOODHALL เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56837
Retail
ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง พนักงานขายในร้านค้าปลีก (Retail) ควรพัฒนาทักษะ "รู้รอบด้าน" แบบ T-Shaped หรือ M-Shaped Skills อะไรบ้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ?
null
ทักษะ T-Shaped Skills 1. Hard Skills -ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการ พนักงานขายควรมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่จำหน่ายอย่างลึกซึ้ง เข้าใจคุณสมบัติ ประโยชน์ และจุดเด่นของสินค้าแต่ละประเภท -ทักษะการสื่อสาร พนักงานขายควรมีทักษะการสื่อสารที่ดี พูดจาสุภาพ ชัดเจน และสามารถอธิบายข้อมูลสินค้าให้ลูกค้าเข้าใจง่าย -ทักษะการขาย พนักงานขายควรมีทักษะการขายที่ดี เข้าใจกลยุทธ์การโน้มน้าวใจลูกค้า และสามารถปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ -ทักษะการใช้เทคโนโลยี พนักงานขายควรมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่ใช้ในร้านค้า เช่น เครื่องคิดเงิน POS ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง และระบบการชำระเงินออนไลน์ 2. Soft Skills -การบริการลูกค้า พนักงานขายควรมีทักษะการบริการลูกค้าที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้ความสนใจ และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มใจ -การทำงานเป็นทีม พนักงานขายควรมีทักษะการทำงานเป็นทีม สามารถทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างราบรื่น -การแก้ปัญหา พนักงานขายควรมีทักษะการแก้ปัญหา สามารถจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างการขายสินค้า -ความคิดสร้างสรรค์ พนักงานขายควรมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดหาวิธีการใหม่ ๆ ในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย ทักษะ M-Shaped Skills -ทักษะเฉพาะทาง พนักงานขายควรมีทักษะเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการประเภทที่จำหน่าย เช่น ความรู้เกี่ยวกับแฟชั่น เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเฟอร์นิเจอร์ -ทักษะดิจิทัล พนักงานขายควรมีความคุ้นเคยกับช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย สามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อสื่อสารกับลูกค้า โปรโมทสินค้า และตอบคำถามลูกค้า -ทักษะภาษา พนักงานขายควรมีความรู้ภาษาต่างประเทศ เพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติ -ทักษะการวิเคราะห์ พนักงานขายควรมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาการบริการ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ทักษะ T-Shaped และ M-Shaped Skills -พนักงานขายในร้านเสื้อผ้าสามารถใช้ความรู้เกี่ยวกับแฟชั่น (Hard Skills) ร่วมกับทักษะการสื่อสารที่ดี (Soft Skills) เพื่อแนะนำเสื้อผ้าให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน -พนักงานขายในร้านเครื่องสำอางสามารถใช้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Hard Skills) ร่วมกับทักษะการใช้เทคโนโลยี (Hard Skills) เพื่อแนะนำสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ -พนักงานขายในร้านอาหารสามารถใช้ทักษะการบริการลูกค้า (Soft Skills) ร่วมกับทักษะภาษา (Hard Skills) เพื่อให้บริการลูกค้าต่างชาติได้อย่างประทับใจ สรุป พนักงานขายในร้านค้าปลีกยุคดิจิทัลจำเป็นต้องพัฒนาทักษะ "รู้รอบด้าน" ทั้งแบบ T-Shaped และ M-Shaped Skills เพื่อเพิ่มขีด
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56861
Retail
เซ็นทรัล รีเทล ควรขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศหรือไม่
null
ใช่ เหตุผล: -ศักยภาพของตลาดต่างประเทศ: ยังมีตลาดต่างประเทศอีกมากมายที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประชากรจำนวนมาก เศรษฐกิจกำลังเติบโต และมีไลฟ์สไตล์คล้ายคลึงกับคนไทย -ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ: เซ็นทรัล รีเทล มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกมายาวนาน มีความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดในต่างประเทศได้ -การขยายฐานลูกค้า: การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ จะช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล ขยายฐานลูกค้า เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว -การแข่งขัน: คู่แข่งของเซ็นทรัล รีเทล หลายราย เช่น เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี ต่างมีการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด เซ็นทรัล รีเทล จำเป็นต้องขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเช่นกัน -นโยบายของภาครัฐ: ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทย ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การสนับสนุนด้านต่างๆ ข้อควรพิจารณา: -ความเสี่ยง: การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ย่อมมีความเสี่ยงหลายประการ เช่น ความเสี่ยงทางการเมือง ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงทางวัฒนธรรม และความเสี่ยงจากคู่แข่ง -ต้นทุน: การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ทั้งในด้านการสร้างสาขาใหม่ การพัฒนาระบบต่างๆ และการจ้างงาน -การบริหารจัดการ: การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และควบคุมความเสี่ยงต่างๆ โดยสรุป: การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย และจะช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก และเพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56872
Retail
ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก (Retail) เราจะปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับภาวะ Subscription Fatigue ของผู้บริโภค
null
1. เสนอบริการแบบผสมผสาน (Hybrid Model) แทนที่จะเสนอบริการแบบสมัครสมาชิกรายเดือนเพียงอย่างเดียว ผู้ประกอบการควรเสนอบริการแบบผสมผสาน ตัวอย่างเช่น - เสนอแพ็กเกจแบบรวมบริการหลายอย่างเข้าด้วยกัน - เสนอบริการแบบชั่วคราว - เสนอบริการแบบซื้อขาด 2. เน้นจุดเด่นของบริการ - ผู้ประกอบการควรเน้นจุดเด่นของบริการ - อธิบายให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงคุณค่าของบริการ - อธิบายว่าทำไมบริการของเราถึงคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย 3. มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค - ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้บริโภค - มอบบริการที่สะดวก รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 4. เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด - ผู้ประกอบการสามารถดึงดูดผู้บริโภคด้วยการเสนอโปรโมชั่นและส่วนลด - กลยุทธ์นี้สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจสมัครสมาชิก 5. พัฒนาระบบการจัดการสมาชิก - ผู้ประกอบการควรพัฒนาระบบการจัดการสมาชิก - ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถควบคุมการสมัครสมาชิก ยกเลิก เปลี่ยนแปลงแพ็กเกจได้อย่างสะดวก 6. มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า - ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า - ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า - นำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า 7. ศึกษาข้อมูลและติดตามเทรนด์ - ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและติดตามเทรนด์ - เข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค - ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 8. มองหาพันธมิตร - ผู้ประกอบการสามารถมองหาพันธมิตร - ร่วมมือกับธุรกิจอื่น - นำเสนอบริการที่หลากหลาย 9. พัฒนาบริการใหม่ - ผู้ประกอบการควรพัฒนาบริการใหม่ - ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค - ดึงดูดผู้บริโภคใหม่ 10. นำเสนอบริการแบบ Personalized - ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอบริการแบบ Personalized - นำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ตัวอย่าง - ร้านขายเสื้อผ้าสามารถเสนอบริการแบบผสมผสาน : ลูกค้าสามารถสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อรับส่วนลด, ซื้อเสื้อผ้าแบบชั่วคราว , ซื้อเสื้อผ้าแบบขาด - ร้านอาหารสามารถเสนอบริการแบบแพ็กเกจ : ลูกค้าสามารถสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อรับอาหาร, เครื่องดื่ม, ของหวาน - ร้านเสริมสวยสามารถเสนอบริการแบบ Personalized : ออกแบบทรงผม, แต่งหน้า, ทำเล็บ สรุป ภาวะ Subscription Fatigue เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกต้องให้ความสำคัญ ผู้ประกอบการควรปรับกลยุทธ์ นำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค มอบประสบการณ์ที่ดี สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56873
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การให้โอกาสพนักงานได้มีส่วนร่วม พัฒนาชุมชน ช่วยสร้างความภาคภูมิใจและความผูกพันกับองค์กร
null
รอยยิ้มแห่งท่าศาลา สายลมเย็นพัดโชยผ่านหลังคาสังกะสีที่เพิ่งได้รับการซ่อมแซมใหม่ แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านหน้าต่างที่สะอาดใส เผยให้เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวในชุดพนักงานไทวัสดุ นามว่า "ฝน" ยืนอยู่หน้าห้องตรวจผู้ป่วย รพ.สต. ท่าศาลา จ.ลพบุรี ฝนมองดูผู้ป่วยทยอยเข้ารับบริการด้วยความสะดวกสบาย รอยยิ้มของพวกเขาเป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาตลอด ย้อนกลับไปเมื่อ 3 เดือนก่อน ฝนได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ "รวมหัวใจให้บ้านเกิด" ของไทวัสดุ โครงการที่เปิดโอกาสให้พนักงานเสนอโครงการพัฒนาชุมชน รพ.สต. ท่าศาลา สถานที่ที่เธอคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก กลายเป็นตัวเลือกแรกในใจ "ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของฉัน ครอบครัวของฉันเคยมาใช้บริการที่นี่เสมอ แต่ด้วยสภาพอาคารที่เก่าและทรุดโทรม ทำให้ผู้ป่วยต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย" ฝนเล่าถึงแรงบันดาลใจ เธอใช้เวลาหลายวันเขียนแผนโครงการ รวบรวมข้อมูล ถ่ายรูป เก็บหลักฐาน เสนอแนะแนวทางการพัฒนา ร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน "ทุกคนทุ่มเทแรงกายแรงใจกันมาก พวกเราอยากเห็น รพ.สต. แห่งนี้พัฒนาขึ้น อยากให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่ดีที่สุด" ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า โครงการของฝนได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการพัฒนา หลังจากผ่านกระบวนการวางแผน ไทวัสดุได้เข้ามาปรับปรุงหลังคาที่พักคอย ซ่อมแซมห้องตรวจ กั้นห้องให้เป็นสัดส่วน จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และอื่นๆ อีกมากมาย "ตอนที่เห็น รพ.สต. โฉมใหม่ รู้สึกภูมิใจมาก ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ดีใจที่ได้ช่วยให้บ้านเกิดของฉันมีสถานที่ที่พร้อมดูแลสุขภาพของผู้คน" รอยยิ้มของฝน สะท้อนถึงความภาคภูมิใจ ความสุข และความยั่งยืน โครงการ "รวมหัวใจให้บ้านเกิด" ไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาชุมชน แต่เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกให้พนักงานมีส่วนร่วม เป็นการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน และเป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของไทวัสดุ ในการเป็นองค์กรค้าปลีกที่ยั่งยืน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56879
Retail
กลยุทธ์ Retail ของ OR ในการขยายธุรกิจมีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์ Retail ของ OR ในการขยายธุรกิจมีดังนี้ 1. มุ่งเน้นธุรกิจค้าปลีกแบบครบวงจร -OR มุ่งเน้นการขยายธุรกิจค้าปลีกแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “Retailing Beyond Fuel” -นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน -พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า 2. ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก -OR วางแผนขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านค้าอื่น ๆ -มุ่งขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพ -พัฒนาโมเดลร้านค้าปลีกใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าในทุกกลุ่ม 3. พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล -OR มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการลูกค้า -พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการสั่งซื้อสินค้าและบริการ -นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า 4. ร่วมมือกับพันธมิตร -OR ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ -ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย -ร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ตัวอย่างการนำกลยุทธ์ไปใช้ -OR ร่วมทุนกับ Central Retail Corporation ในการขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อ -OR ร่วมมือกับ Starbucks ในการขยายธุรกิจร้านกาแฟ -OR พัฒนาแอปพลิเคชัน PTT Blue Card เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ได้สะดวก -OR ร่วมมือกับ AIS ในการพัฒนาโซลูชันดิจิทัลสำหรับธุรกิจค้าปลีก ผลลัพธ์ที่คาดหวัง -เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ Retail ของ OR -ขยายฐานลูกค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ -สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ตัวอย่าง -OR คาดหวังว่าจะขยายสาขาร้านสะดวกซื้อครบ 10,000 สาขาภายในปี 2568 -OR คาดหวังว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Retail เป็น 25% ของรายได้รวมภายในปี 2568 บทสรุป กลยุทธ์ Retail ของ OR มุ่งเน้นการขยายธุรกิจค้าปลีกแบบครบวงจร ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และร่วมมือกับพันธมิตร คาดหวังว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้า สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56880
Retail
อธิบายกลยุทธ์ที่ Central Retail ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล ได้ดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์ CRC Retailligence และสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด โชว์ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 ด้วยรายได้รวมอยู่ที่ 65,147 ล้านบาท (+11% YoY) EBITDA 9,497 ล้านบาท (+18% YoY) และกำไรสุทธิ 3,417 ล้านบาท (+39% YoY) ส่งผลให้ตัวเลขผลประกอบการปิดปี 2565 เติบโตเกินเป้าที่วางไว้ โดยสามารถกวาดรายได้รวมทั้งสิ้น 236,245 ล้านบาท (+21% YoY) EBITDA 30,049 ล้านบาท (+50% YoY) และกำไรสุทธิ 7,605 ล้านบาท (+2,648% YoY) ทั้งนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังพร้อมเสนอจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 0.48 บาทต่อหุ้น โดยจะมีการอนุมัติอีกครั้งในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี (AGM)” สำหรับความสำเร็จของเซ็นทรัล รีเทล มาจากความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจในเครือที่สร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น ทั้งกลุ่มแฟชั่นที่พลิกโฉมประสบการณ์ใหม่ “New Omni Fashion” ด้วย Total Solution ครบวงจร และกลับมาโตแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม ส่วนกลุ่มฮาร์ดไลน์ ไทวัสดุขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 2 อย่างเต็มรูปแบบด้วยจำนวนสาขารวม 70 สาขา ใน 42 จังหวัดทั่วไทย ท็อปส์ เบอร์ 1 ฟู้ดรีเทลเมืองไทยชูคอนเซปต์ใหม่ “Every Day Discovery” พร้อมเดินหน้าขยายสาขาอีก 15 สาขา รวมถึงศูนย์การค้า โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ที่ยังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จนได้ชื่อว่าเป็นเบอร์ 1 ศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community ที่มีสาขาครอบคลุมจังหวัดมากที่สุดในไทย นอกจากนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังสร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความคล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจมีความ Fit & Firm และสามารถสร้างผลประกอบการกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วเกินคาด โดยสามารถแบ่งสัดส่วนยอดขายตามกลุ่มธุรกิจในปี 2565 ออกเป็น กลุ่มฟู้ด 40% กลุ่มฮาร์ดไลน์ 34% และกลุ่มแฟชั่น 26% และแบ่งตามประเทศเป็น ประเทศไทย 69% เวียดนาม 24% และอิตาลี 7% นอกจากนี้ยอดขายบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนลยังเติบโตขึ้นถึง 15% จากปีก่อน และมีสัดส่วนยอดขายจากแพลตฟอร์มนี้เป็น 18% ของยอดขายทั้งหมด และมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเซ็นทรัล รีเทล ยังได้สร้างความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ (Strategic Success) ด้วยการ Spin-off บมจ.เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้สำเร็จ ด้วยมูลค่า Market Cap ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 12,075 ล้านบาท ขึ้นแท่นหุ้น Market cap สูงสุดอันดับ 2 ของตลาด mai ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Service) นอกจากนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังสร้างความสำเร็จก้าวสำคัญในเวียดนาม โดยปัจจุบันครองตำแหน่งผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และขึ้นแท่นอันดับ 1 ไฮเปอร์มาร์เก็ต และอันดับ 2 ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ด้วยจำนวนธุรกิจครอบคลุมใน 40 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนาม และตอกย้ำความแข็งแกร่งในกลุ่มฟู้ด ด้วย 3 โมเดลสำคัญ อย่าง GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต, go! ซูเปอร์มาร์เก็ต และ Tops market ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของชาวเวียดนาม โดยจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล จะยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นว่าเวียดนามเป็น Key Market ของเซ็นทรัล รีเทล ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมหาศาล และมีความพร้อมทางธุรกิจในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจที่โตเร็ว ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว และมีกำลังซื้อสูง รวมถึงการขยายตัวของเมืองและธุรกิจโมเดิร์นเทรดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ได้เร่งเครื่องอัดฉีดงบลงทุน 5 ปี กว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อขยายอาณาจักรในเวียดนามอย่างเต็มที่ พร้อมผนึกความร่วมมือทั้ง Ecosystem ของเซ็นทรัล รีเทล เพื่อเสริมแกร่งความเป็นผู้นำทั้งในกลุ่มฟู้ด น็อนฟู้ด และพร็อพเพอร์ตี้ ในประเทศเวียดนาม โดยมีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 5-7 สาขาในปีหน้า พร้อมทั้งตั้งเป้าขยายอาณาจักรเซ็นทรัล รีเทล ให้ครอบคลุมทั้งหมด 57 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนาม และบรรลุยอดขาย 150,000 ล้านบาทในประเทศเวียดนามในอีก 5 ปีข้างหน้า “เซ็นทรัล รีเทล พร้อมมุ่งหน้าสู่ The Next Sustainable Growth โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกกลุ่มธุรกิจในแต่ละประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเส้นทางธุรกิจต่อจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล มีความมั่นใจที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากปัจจัยบวกหลายด้านในภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการ โดยเฉพาะแรงเสริมจากการเปิดประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ถือเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล ซึ่งจะเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทลของเรา” นายญนน์ กล่าวสรุป
กลยุทธ์ที่ Central Retail ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีดังนี้: 1. กลยุทธ์ CRC Retailligence: - New Omni Fashion: พลิกโฉมประสบการณ์ใหม่ด้วย Total Solution ครบวงจร - ไทวัสดุ: ขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 2 อย่างเต็มรูปแบบ - ท็อปส์: ชูคอนเซปต์ใหม่ “Every Day Discovery” - โรบินสัน ไลฟ์สไตล์: ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง - การบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่าย: เน้นประสิทธิภาพสูงสุด - การลงทุน: มุ่งเน้นลงทุนใน Strategic Business - การจัดการเงินทุนหมุนเวียน: เน้นความคล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสด 2. กลยุทธ์การขยายธุรกิจ: - ประเทศไทย: ขยายสาขาในจังหวัดต่างๆ เพิ่มเติม - เวียดนาม: มุ่งมั่นขยายธุรกิจครอบคลุม 57 จังหวัด - อิตาลี: มองหาโอกาสขยายธุรกิจ 3. กลยุทธ์การสร้างฐานลูกค้า: - แพลตฟร์มออมนิแชแนล: พัฒนาและขยายแพลตฟอร์ม - บริการที่หลากหลาย: นำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า - กิจกรรมทางการตลาด: สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า 4. กลยุทธ์การสร้างความยั่งยืน: - การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม: ลดการใช้พลังงาน น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติ - การบริหารจัดการขยะ: ส่งเสริมการรีไซเคิลและลดขยะ - การพัฒนาชุมชน: สนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชน - การสร้างงาน: สร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น - กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Central Retail ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน Central Retail มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจ บริการ และกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างคุณค่าให้กับสังคม นอกจากกลยุทธ์หลักๆ เหล่านี้แล้ว Central Retail ยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำค้าปลีกแบบดิจิทัล (Digital Retail Leader) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56881
Retail
ดีน แอนด์ เดลูก้า ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ Retail หรือไม่?
null
ไม่แน่นอน ปัจจัยสนับสนุน: การพลิกกลับมาทำกำไร: ดีน แอนด์ เดลูก้า ในประเทศไทยสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2561 การขยายสาขา: PACE ได้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ ดีน แอนด์ เดลูก้า แก่บริษัท Lagardère Travel Retail ในการเปิดสาขาตามสนามบิน สถานีรถไฟ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ การจับกลุ่มลูกค้าใหม่: PACE ได้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ ดีน แอนด์ เดลูก้า ในจีน แก่บริษัท Kinghill ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเครือเจริญโภคภัณฑ์ การปรับกลยุทธ์: PACE ได้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ ดีน แอนด์ เดลูก้า ในไทยแก่บริษัท NPPG เป็นเวลา 5 ปี ปัจจัยคุกคาม: ผลประกอบการที่ไม่แน่นอน: ดีน แอนด์ เดลูก้า เคยขาดทุนติดต่อกันหลายปี การแข่งขันที่รุนแรง: ธุรกิจ Retail ในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง ภาพลักษณ์แบรนด์ที่ย่ำแย่: ดีน แอนด์ เดลูก้า ในสหรัฐฯ ยื่นล้มละลาย ค่าใช้จ่ายที่สูง: ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นแบรนด์ที่มีราคา positioning ค่อนข้างสูง สรุป: ดีน แอนด์ เดลูก้า ในประเทศไทยมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ Retail แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ด้วยเช่นกัน คำแนะนำ: ดีน แอนด์ เดลูก้า ควรพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ดีน แอนด์ เดลูก้า ควรปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ดีน แอนด์ เดลูก้า ควรควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ดีน แอนด์ เดลูก้า ควรสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดีขึ้น
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56902
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การช่วยเหลือสังคม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนรวยหรือคนมีชื่อเสียง แต่ทุกคนสามารถทำได้
null
พลังใจจากใจกลางเมือง ท่ามกลางความวุ่นวายของห้างสรรพสินค้า เมืองกรุง ผู้คนต่างรีบเร่งไปตามภารกิจของตนเอง แต่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อต่อสู้กับวิกฤตการณ์โควิด-19 หนึ่งในนั้นคือ "พิม" พนักงานขายสาวจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เช่นเดียวกับพนักงานคนอื่น ๆ พิมต้องเผชิญกับความยากลำบากจากมาตรการควบคุมโรค ร้านค้าหลายร้านต้องปิดตัวลง ลูกค้าบางตาลง แต่พิมไม่เคยท้อใจ เธอยังคงทำงานอย่างเต็มความสามารถ "เราทุกคนต้องผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน" พิมคิดในใจ พิมอาสาสมัครเป็นหนึ่งในทีม "CRC รวมพลัง กู้วิกฤตโควิด-19" ของเซ็นทรัล รีเทล หน้าที่หลักของเธอคือช่วยคัดกรองผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนที่จุดฉีดวัคซีนภายในห้าง "ในตอนแรกก็รู้สึกกังวล กลัวการติดเชื้อ แต่พอได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนหลังฉีดวัคซีนเสร็จ รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม" พิมเล่า นอกจากงานบริการฉีดวัคซีนแล้ว พิมยังอาสาสมัครช่วยแพ็คกล่องอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อส่งมอบให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาตัวอยู่ที่บ้าน "หลาย ๆ คนลำบากกว่าเราเยอะ เราแค่แบ่งปันสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขา รู้สึกดีใจที่ได้ช่วย" พิมกล่าว พิมเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของพนักงานเซ็นทรัล รีเทล หลายพันคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยเหลือสังคมในช่วงวิกฤต "เราไม่ได้มองว่านี่เป็นแค่หน้าที่ แต่มันคือความรับผิดชอบต่อสังคม" นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล จำกัด (มหาชน) กล่าว "เซ็นทรัล รีเทล ในฐานะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ มุ่งมั่นที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน"
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56907
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยีเสมือนจริงมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร
null
มิติใหม่แห่งร้านอาหาร: บาร์บีคิวพลาซ่าเสมือนจริง บทที่ 1: โลกเสมือนจริง ณ กรุงเทพมหานคร อรวรรณ พนักงานออฟฟิศสาว กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเธอ ท้องร้องจ๊อกจ๊อก เสียงเรียกร้องให้เธอเติมพลังอาหารกลางวัน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอปพลิเคชัน V-AVENUE.Co ห้างสรรพสินค้าเสมือนจริงที่เธอเพิ่งโหลดมาเมื่อไม่นานมานี้ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ตึกสีสันสดใส ตกแต่งด้วยโลโก้บาร์บีคิวพลาซ่า ร้านอาหารหมูกระทะที่เธอชื่นชอบ "ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหาย" อรวรรณคิด เธอคลิกเข้าไปยังร้าน บรรยากาศเสมือนจริงภายในร้านอาหารทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกวาร์ปไปยังบาร์บีคิวพลาซ่าสาขาจริง พนักงานเสมือนจริงยิ้มแย้มต้อนรับ พาเธอไปยังโต๊ะที่ว่า อรวรรณเปิดเมนูอาหารบนหน้าจอ เลือกชุดหมูคุโรบุตะสุดคุ้ม กดสั่งอาหาร และชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เพียงไม่กี่นาที กลิ่นหอมเย้ายวนของหมูย่างก็ลอยมาแตะจมูก อาหารเสมือนจริงถูกส่งตรงมายังโต๊ะของเธอ ร้อนๆ จากเตา บทที่ 2: ประสบการณ์เหนือระดั อรวรรณหยิบตะเกียบคีบหมูชิ้นโต จุ่มลงในน้ำจิ้มรสเด็ด กลิ่นหอมของซอสและเนื้อหมูย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว เธอกินอย่างเอร็ดอร่อย รู้สึกประทับใจกับประสบการณ์ใหม่นี้ "เหมือนกินอยู่ที่ร้านจริงๆ เลย" เธอคิด ยิ่งไปกว่านั้น อรวรรณยังสามารถพูดคุยกับเพื่อนๆ ผ่านระบบแชทในแอปพลิเคชัน แชร์รูปอาหาร แลกเปลี่ยนประสบการณ์การกินบาร์บีคิวพลาซ่าเสมือนจริง บทที่ 3: โอกาสใหม่สำหรับธุรกิจ ในอีกมุมหนึ่งของเมือง บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการสร้างโอกาสทางการตลาด กลุ่มธุรกิจอาหาร ฟู้ดแพชชั่น กำลังติดตามผลตอบรับของบาร์บีคิวพลาซ่าเสมือนจริง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าลูกค้าจำนวนมากให้ความสนใจกับร้านอาหารเสมือนจริงแห่งนี้ "นี่เป็นการเปิดมิติใหม่ให้กับธุรกิจร้านอาหาร" บุณย์ญานุชคิด "เทคโนโลยีเสมือนจริงช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แค่พื้นที่ทางกายภาพ บทส่งท้าย เรื่องราวของอรวรรณและบุณย์ญานุช สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีเสมือนจริง ในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจร้านอาหาร และบาร์บีคิวพลาซ่าเสมือนจริงเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_56931
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง เซ็นทรัล รีเทล อัดงบลงทุน พร้อมนำ Meb เสนอขายหุ้น IPO ได้ไหม
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ฉายภาพความสำเร็จ หลังปูพรมขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนงาน 5 ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เร่งเครื่องสร้างการเติบโตในปี 2566 ใน 5 กลุ่มธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่ The Next Sustainable Growth นำธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ปี 2565 ที่ผ่านมา CRC สร้างความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ฟู้ด, แฟชั่น, ฮาร์ดไลน์, พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส โดยสร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าที่ตั้งไว้ สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 มองเห็นสัญญาณบวกของภาคค้าปลีกและบริการในทั้ง 3 ประเทศ จากสภาพเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การเปิดประเทศของจีน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว โดย CRC อัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนธุรกิจบนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ที่เพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย และสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! จากเดิมที่ CRC เป็นผู้นำค้าปลีกในเวียดนามอยู่ เช่น แบรนด์ GO! เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตเบอร์ 1 ในเวียดนาม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 ตามเจตนารมณ์การเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย โดยเป้าหมายทั้งหมด จะเกิดขึ้นได้จริงผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1. Accelerate Core Leadership : เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลัก ในทั้ง 3 ประเทศ -กลุ่มแฟชั่น : ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรีในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชูรีทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช็อปปิงจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวตสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขาในปีนี้ -กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้ -กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขยายและรีโนเวตศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 2567 -สร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และเร่งขยาย Proven Format Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียน ให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป 2. Reinvent Next-Gen Omni Retail : ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ที่ดีจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ตเนอร์ บนแพลตฟอร์ม Next-Gen Omni Retail เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้บริโภค ทั้งในด้าน Experience-driven ที่เชื่อมโยงทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ การใช้ AI เพื่อมอบสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแบบ Smart Retail รวมถึงการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ตามเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย Agile Commerce และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกที่ทุกเวลาแบบ Multi-Moment 3. Build New Growth Pillars : ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเสริมทัพธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนาม ในช่วงกลางปีนี้ 4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off ซ ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรและการทำ M&A (การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ) พร้อมนำ MEB เบอร์ 1 แพลตฟอร์ม E-Book เข้าตลาดหลักทรัพย์ Mai เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ ซึ่งคาดว่าเมื่อเข้าตลาดฯ MEB จะมีมูลค่าบริษัทประมาณ 8,500 ล้านบาท 4 กลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้ CRC เติบโตสู่ The Next Sustainable Growth และคาดว่า จะสร้างรายได้รวมในปี 2566 ราว 270,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งตั้งเป้าระยะสั้นในปี 2566 ที่จะนำพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน มาใช้ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ให้ได้ 30%, ลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ 10% และลดการใช้น้ำ 10% เพิ่มการจำหน่ายสินค้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสัดส่วน 20% ของสินค้าทั้งหมด และเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก สำหรับเป้าหมายในระยะยาว CRC คาดหวัง -รายได้ เพิ่ม 2.5 เท่า -EBITDA เพิ่ม 3.5 เท่า -มูลค่าบริษัท (Market Cap.) เพิ่ม 2.5 เท่า ภายในปี 2570 ด้วยงบลงทุนทั้งสิ้นรวม 150,000 ล้านบาท.. รวมถึงมีสัดส่วนรายได้มาจากประเทศไทย ประมาณ 65% เวียดนาม 30% และอิตาลี 5%
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สำเร็จหลังปูพรมขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ CRC Retailligence สร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% CRC อัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท บนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence จะเป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย ขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า เป้าหมายทั้งหมด จะเกิดขึ้นได้จริงผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก 1. Accelerate Core Leadership : เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลัก ในทั้ง 3 ประเทศ 2. Reinvent Next-Gen Omni Retail : ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น 3. Build New Growth Pillars : ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น 4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off ซ ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรและการทำ M&A เป้าหมายในระยะยาว CRC คาดหวัง -รายได้ เพิ่ม 2.5 เท่า -EBITDA เพิ่ม 3.5 เท่า -มูลค่าบริษัท (Market Cap.) เพิ่ม 2.5 เท่า
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56941
Retail
กลยุทธ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในปี 2565 เน้นการขยายสาขาแบบ Pop-Up Store มากกว่า Permanent Store หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล คือ 1. แผนงานปี 2565 ของเซ็นทรัล รีเทล เน้นการขยายสาขาแบบ Permanent Store -แผนงานปี 2565 ของเซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาปรับปรุงธุรกิจหลัก และเร่งเครื่องขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ -มีการพูดถึงการขยายสาขาใหม่กว่า 300 สาขา ประกอบด้วย -ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ -ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน -ไทวัสดุ -ท็อปส์ -ร้านค้าเฉพาะทาง (Specialty store) -ยังมีการพูดถึงการขยายสาขารูปแบบใหม่ เช่น ท็อปส์ สแตนด์อโลน -ไม่ได้มีการพูดถึง Pop-Up Store 2. การลงทุนใน Permanent Store -การลงทุนใน Permanent Store -ใช้เงินลงทุนสูง -ใช้เวลานาน -แสดงถึงความมุ่งมั่นระยะยาว -กลยุทธ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในปี 2565 แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจอย่างจริงจัง 3. เป้าหมายในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก -การขยายสาขาแบบ Permanent Store -ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น -สร้างการรับรู้แบรนด์ -เพิ่มโอกาสในการขาย -สอดคล้องกับเป้าหมายของเซ็นทรัล รีเทล ในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก 4. บทบาทของ Pop-Up Store -Pop-Up Store -ใช้สำหรับทดสอบตลาด -สร้างประสบการณ์พิเศษ -ไม่ใช่กลยุทธ์หลัก -กลยุทธ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในปี 2565 เน้นไปที่การขยายธุรกิจหลัก 5. แนวโน้มของตลาด -ผู้บริโภคยังคงนิยมการช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า -ห้างสรรพสินค้า Permanent Store -ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย -สร้างความมั่นใจและน่าเชื่อถือ สรุป -กลยุทธ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในปี 2565 เน้นการขยายสาขาแบบ Permanent Store มากกว่า Pop-Up Store -Permanent Store -สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของบริษัท -ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค -รองรับแนวโน้มของตลาด
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56942
Retail
AWC ร่วมกับพันธมิตรเครือโรงแรมระดับโลกทั้ง 6 ราย ดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการเพื่ออะไร
ก. สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับพนักงาน ข. ดูแลความปลอดภัยเรื่องสุขอนามัยภายในโครงการ ควบคู่กับสร้างความเชื่อมั่นให้กับแขกผู้เข้าพักและใช้บริการในโรงแรม ค. สร้างเสริมศักยภาพและพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่งตามแผนยุทธศาสตร์การเติบโตของบริษัท ง. มอบความช่วยเหลือตามความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ข. เพราะว่า AWC ร่วมกับพันธมิตรเครือโรงแรมระดับโลกทั้ง 6 รายได้แก่ แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์, ฮิลตัน, อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป, บันยันทรี, มีเลีย และโอกุระ ดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เพื่อดูแลความปลอดภัยเรื่องสุขอนามัยภายในโครงการ ควบคู่กับสร้างความเชื่อมั่นให้กับแขกผู้เข้าพักและใช้บริการในโรงแรม โดยได้ออกมาตรการที่เหมาะสมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่แขกผู้เข้าพักและผู้ใช้บริการ ธุรกิจโรงแรมภายใต้การดูแลของ AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ ในการออกนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมในการยกเลิกเข้าพักในโรงแรม โดยพิจารณาความเหมาะสมในช่วงเวลาที่เดินทางและประเทศต้นทาง รวมถึงการยกระดับความเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสายการบิน คลับ ตลอดจนกิจกรรมลอยัลตี้เพื่อสร้างรายได้อื่นๆ บริษัทจะเร่งการลงทุนและปรับปรุงโครงการอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต อีกทั้งการจัดแผนโปรแกรมทำความสะอาดใหญ่ ทั่วทั้งบริเวณ (Big Cleaning) ในทุกโครงการเพิ่มเติมจากแผนการทำความสะอาดตามปกติ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกโครงการ
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_56943
Retail
กลยุทธ์ของสยามพิวรรธน์ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีความน่าสนใจอย่างไร?
null
กลยุทธ์ของสยามพิวรรธน์ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีความน่าสนใจหลายประการ ดังนี้ 1. เน้นการสร้างประสบการณ์ Shopping เหนือความคาดหมาย -สยามพิวรรธน์ มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือความคาดหมาย ผ่านการผนึกกำลังกับ Luxury brands ร้านค้าผู้เช่า และพันธมิตรธุรกิจ -มีแผนเปิดร้าน Luxury brands ใหม่ 20 ร้านค้าในไตรมาส 4 -จัด Pop-up store และงานอีเวนต์ระดับโลก ร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ -ขยายพื้นที่ Luxury brands ให้เป็น Iconic store ที่ใหญ่ที่สุดในสยามพารากอนและไอคอนสยาม 2. มุ่งเน้นการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ -สยามพิวรรธน์ ทำงานร่วมกับภาครัฐ องค์กรต่างๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ -ใช้พื้นที่รอยัลพารากอน ฮอลล์ และทรู ไอคอนฮอลล์ เป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์มาตรฐานระดับโลก -มีแผนรองรับงานสำคัญรวมกันกว่า 40 งานในปี 2566 และจองคิวในปี 2567 แล้วมากถึง 70% -ร่วมมือกับพันธมิตรใน Global Ecosystem รองรับการจัดงานหลากหลายรูปแบบ ส่งเสริมธุรกิจ MICE -ลงทุนจัดกิจกรรมระดับชาติรวมกันถึง 40 กิจกรรม 3. ส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก -สนับสนุนศิลปินไทยมาตลอดเวลากว่า 15 ปี -นำเสนอผลงานของศิลปินไทยเป็น public arts ประจำในศูนย์การค้า -เตรียมแผนเสนอรัฐบาล ปั้นกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง S/E Asia จัดงานศิลปะระดับโลก -เปิดศูนย์ศิลปะริเวอร์มิวเซียม ในปี 2026 -ร่วมมือกับภาครัฐ พัฒนาแพลตฟอร์ม ดึงดูดบุคคลสำคัญในวงการศิลปะ 4. ปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์ -พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาส นำเสนอ Soft power ของคนไทย -เปิดโอกาสให้ SMEs และพ่อค้าแม่ค้า 77 จังหวัด นำเสนออัตลักษณ์ไทย -สร้างแบรนด์สินค้าของคนไทย ผ่าน ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA -ขายแฟรนไชส์สินค้าไทยไปต่างประเทศ -ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย ยกระดับ Soft power ของไทย โดยสรุป กลยุทธ์ของสยามพิวรรธน์ มีความน่าสนใจ เนื่องจาก -เน้นการผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งระดับโลก กิจกรรมส่งเสริมศิลปินไทย และ Soft power ของไทย -มุ่งเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม -มีแผนงานที่ชัดเจน ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน -มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป เช่น -ประสิทธิภาพของกลยุทธ์ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว -การแข่งขันจากศูนย์การค้าอื่นๆ ในประเทศและต่างประเทศ -ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม แต่โดยรวมแล้ว กลยุทธ์ของสยามพิวรรธน์ น่าจะมีส่วนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งเสริมธุรกิจค้าปลีก และเศรษฐกิจไทยได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_56944
Retail
ช่วยสรุปบทความ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ทุ่ม 3,000 ล้าน รีโนเวต “เดอะมอลล์ ท่าพระ” สู่ “เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ”
สำหรับการรีโนเวต เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ในครั้งนี้ ถือเป็นการรีโนเวตครั้งใหญ่ในรอบ 32 ปี หลังจากที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2532 โดยทุ่มงบประมาณ 3,000 ล้านบาท พลิกโฉมใหม่ทั้งหมดทุกพื้นที่ เปลี่ยนองค์ประกอบและแนวคิดการออกแบบ เพื่อให้กลายเป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตของทุกคนในที่เดียว บนพื้นที่รวมกว่า 150,000 ตารางเมตร ชูการออกแบบตกแต่ง ภายใต้คอนเซปต์ “URBAN PLAYGROUND” สร้างพื้นที่แห่งความสนุก สุขทุกการใช้ชีวิตสำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะกิน ช้อป ชิลล์ หรือเอนเตอร์เทนเมนต์ครบจบในที่เดียว โดยวางจุดยืนให้ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ เป็นแลนด์มาร์กศูนย์การค้ามิติใหม่ย่านฝั่งธนฯ เพื่อยกระดับย่านการค้าและเศรษฐกิจของย่านฝั่งธนฯ หรือกรุงเทพฝั่งตะวันตก คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า การพลิกโฉม “เดอะมอลล์ ท่าพระ” สู่ “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ” เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการปรับโฉมเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ที่กวาด 3 รางวัลใหญ่จาก RETAIL ASIA AWARDS 2021 ซึ่งจัดโดยนิตยสาร RETAIL ASIA ประเทศสิงคโปร์ ได้แก่ 1) รางวัล MALL OF THE YEAR 2) รางวัล BRAND TRANSFORMATION OF THE YEAR 3) รางวัล STORE OF THE YEAR ซึ่งการรีโนเวต เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ในครั้งนี้ ยังคงให้ความสำคัญกับการออกแบบรังสรรค์ให้ทุกพื้นที่ เป็นพื้นที่ในการใช้ชีวิต เป็นความสนุกมิติใหม่ในการช็อปปิง และสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร โดยยังคงมุ่งเน้นการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ CUSTOMER CENTRIC และคำนึงถึง CUSTOMER JOURNEY เป็นหัวใจสำคัญ นอกจากนี้ องค์ประกอบของ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ยังยึดตาม 4 แนวคิดหลัก ได้แก่ -LIVELIHOOD HANGOUT ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัยกับหลากหลายจุดแฮงเอาท์ที่ครบครันทั้งครอบครัว พร้อมความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม -FLEXIBLE & DIVERSIFIED ที่สุดแห่งประสบการณ์ ช็อปปิงที่หลากหลายกับสินค้าแบรนด์ดัง เข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์ได้มากขึ้น โดยได้คัดสรรสินค้าแบรนด์ดังมากมาย ร้านค้าชั้นนำในศูนย์ฯ กว่า 200 ร้าน ทั้งสินค้า BEAUTY, FASHION, LIFESTYLE, SPORTS, LIVING, IT GADGET, DINING -สร้างประสบการณ์ช็อปปิงแบบไร้รอยต่อ ทุกพื้นที่จะถูกเชื่อมโยงถึงกัน ด้วยฟังก์ชันการจัดรูปแบบร้านค้าให้เป็น SEAMLESS SHOPPING EXPERIENCE เพิ่มความสนุกในการช็อปปิง -COZY EXPERIENCE ผสานความรื่นรมย์ของธรรมชาติเข้ากับไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว มีความเป็นมิตรและอบอุ่น พร้อมเพิ่มความสนุกด้วยดีไซน์กราฟฟิคสีสันสดใสตกแต่งทั่วทั้งศูนย์ฯ -SOCIALIZED SPACE พื้นที่สร้างความสุข เชื่อมโยงความสัมพันธ์ อันดี พร้อมจัดกิจกรรมดี ๆ ให้กับทุกคนและชุมชน และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ส่วนในด้านการออกแบบตกแต่งทั้งภายในและภายนอกของเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ เน้นการผสมผสานของความหลากหลายสไตล์ "ECLECTIC MODERN” และเน้นการรังสรรค์พื้นที่ต่าง ๆ โดยการใช้สีสัน COLOR SCHEME แนวใหม่ รวมถึงการใช้รูปทรงและงานศิลป์ที่หลากหลายในการตกแต่ง เพื่อให้เกิดประสบการณ์ มีมิติใหม่ที่สนุกสนานและสร้างแรงบันดาลใจ ที่แตกต่างไปจากเดิม รวมทั้งยังมีการนำวัสดุ UPCYCLE มาใช้เพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการออกแบบในครั้งนี้อีกด้วย ทั้งนี้ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ตั้งอยู่ใจกลางทำเลศักยภาพ และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญของย่านฝั่งธนฯ เนื่องจากมีโครงข่ายคมนาคมเมกะโปรเจ็คขนาดใหญ่ เป็น Transportation Hub เชื่อมต่อไปยังย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) อาทิ สีลม สาทร พระรามสี่ และตัวเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ (Urban Area) ได้อย่างสะดวกสบาย” ในด้านทำเล คือเสน่ห์ของย่านเมืองเก่า วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคน ในชุมชนย่านฝั่งธนฯ ผสมผสานกับการขยายตัวของเส้นทางคมนาคม รถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อ 2 ฝั่งเมืองไม่ว่าจะเป็นย่านรัชดาภิเษก พระราม 3 – ราชพฤกษ์ สาทร ถือเป็นทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพสูง โดยมีประชากรในพื้นที่กว่า 1,200,000 คน 600,000 ครัวเรือน กว่า 120 โครงการคอนโดมีเนียม ทั้งคนรุ่นใหม่ คนทำงาน ครอบครัวที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้าน Big Data ก็ได้ข้อมูลจาก Customer Platform และการใช้เทคโนโลยี AI – Analytics ขั้นสูง ทำให้ได้ข้อมูลจากลูกค้าที่มาเดินในห้างฯ รวมทั้งฐานข้อมูลจากสมาชิกบัตร M Card กว่า 4.7 ล้านคน สมาชิกบัตร SCB M กว่า 1 ล้านคน ตลอดจนฐานข้อมูลลูกค้าจากพันธมิตรบัตรเครดิต ทำให้เราเข้าใจ CUSTOMER SHOPPING JOURNEY ของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง สามารถนำข้อมูลที่ได้นั้นมาวางคอนเซ็ปต์การออกแบบศูนย์การค้า ตลอดจนการคัดสรรสินค้า สร้างสรรค์บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ รวมทั้ง กลยุทธ์สร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มลูกค้าผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ครอบคลุมทุกสื่อ ซึ่งเราได้ 3 ตัวแทนคนรุ่นใหม่มา represent ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเจเนอเรชันยุคนี้ให้กับเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ไม่ว่าจะเป็น คุณท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจคนรุ่นใหม่ ที่น่าจับตามองในแวดวงการเงินดิจิทัล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, คุณอูน-ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรันช์ไทม์ จำกัด ผู้ประกอบการ คนรุ่นใหม่เจ้าของแบรนด์ Diamond Grains ที่ผลักดันสินค้าไทยสร้างชื่อเสียงสู่ตลาดระดับโลก และ คุณโจ๊กเกอร์-ฑีฆาวัฒน์ ปัทมาคม GM RipCurl (Thailand)., Ltd. ผู้ปลุกกระแสเซิร์ฟสเก็ตและคัลเจอร์ใหม่ในเมืองไทย โดยเราตั้งเป้าเจาะฐานลูกค้าทั้งกลุ่มคนทำงาน, กลุ่ม First Jobber, กลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่, กลุ่มครอบครัว, Expat และผู้สูงอายุ ครอบคลุมรัศมี 10 กิโลเมตรโดยรอบ อาทิ เขตธนบุรี, จอมทอง, คลองสาน, บางกอกใหญ่ “เราเชื่อมั่นว่าการปรับโฉมภาพลักษณ์ใหม่ของ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ ครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดียิ่งจากลูกค้าและเป็นเดสติเนชันที่มอบความสุข ความสนุกเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ใช้ชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าทุกเจนเนอเรชั่นในย่านฝั่งธนฯ”
การรีโนเวต "เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ" เป็นครั้งใหญ่ในรอบ 32 ปี ทุ่มงบประมาณ 3,000 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงทั้งพื้นที่และแนวคิดการออกแบบ เพื่อเป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิต บนพื้นที่กว่า 150,000 ตารางเมตร ตั้งใจสร้างพื้นที่แห่งความสนุก สุขทุกการใช้ชีวิต ด้วยคอนเซปต์ "URBAN PLAYGROUND" ที่บูรณะกลายเป็นแลนด์มาร์กศูนย์การค้ามิติใหม่บนฝั่งธนฯ นำโดยคุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ที่ได้รับรางวัล RETAIL ASIA AWARDS 2021 จาก RETAIL ASIA ประเทศสิงคโปร์ ด้วย 3 รางวัลใหญ่ ได้แก่ 1) รางวัล MALL OF THE YEAR 2) รางวัล BRAND TRANSFORMATION OF THE YEAR 3) รางวัล STORE OF THE YEAR ซึ่งการรีโนเวต ในครั้งนี้ ออกแบบรังสรรค์ให้ทุกพื้นที่ เป็นพื้นที่ในการใช้ชีวิต มิติใหม่ในการช็อปปิง และสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ที่แตกต่าง โดยยังคงมุ่งเน้นCUSTOMER CENTRIC และ CUSTOMER JOURNEY นอกจากนี้ ยังยึดตาม 4 แนวคิดหลัก ได้แก่ -LIVELIHOOD HANGOUT -FLEXIBLE & DIVERSIFIED -COZY EXPERIENCE -SOCIALIZED SPACE "เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ" ปรับโฉมใหม่ทั้งภายในและภายนอกด้วยสไตล์ "ECLECTIC MODERN" และ COLOR SCHEME ใหม่ ผสมวัสดุ UPCYCLE เพื่อเสริมประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจ ตั้งอยู่ใจกลางย่านฝั่งธนฯเป็นศูนย์การค้าและคมนาคมที่สะดวกสบาย ใกล้ Transportation Hub ที่เชื่อมต่อไปยังศูนย์ธุรกิจในกรุงเทพฯ เป็นทำเลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัยของประชากรในย่านฝั่งธนฯ กว่า 1.2 ล้านคน กับ 120 โครงการคอนโดมีเนียมในพื้นที่ Big Data จาก Customer Platform เทคโนโลยี AI – Analytics ช่วยเข้าใจ Customer Shopping Journey ด้วยข้อมูลจาก ลูกค้าที่เดินทางมาที่ห้างฯ, สมาชิกบัตร M Card, SCB M Card, และบัตรเครดิตพันธมิตร ในการออกแบบศูนย์การค้าและบริการ สร้างสรรค์บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงกลยุทธ์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อรับรู้และเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้า รวมถึง 3 ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่เป็นแบรนด์นักธุรกิจระดับโลก ทำให้ "เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ" เป็นศูนย์การค้าที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่รวบรวมมาจากกลุ่มคนทำงาน, First Jobber, วัยรุ่น, ครอบครัว, Expat และผู้สูงอายุ ในรัศมี 10 กิโลเมตร ของย่านฝั่งธนฯ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56950
Retail
ช่วยสรุปบทความ เซ็นทรัล วิลเลจ เดินหน้าชูความสำเร็จต่อยอดด้วยกลยุทธ์ผู้นำเอาท์เล็ต
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกของไทย ก้าวไปอีกขั้นด้วยกลยุทธ์สะท้อนความเป็นผู้นำเอาท์เล็ตที่ดึง insight ของนักช้อปแบรนด์เนมในราคาคุ้มค่า ปรับตัวเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงใจ รวดเร็ว และประสบความสำเร็จ ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวของทั้งการเป็นผู้บุกเบิกตลาดลักชูรี่เอาท์เล็ตในไทยรายแรก บวกกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแบบไทยโมเดิร์น และแคมเปญการตลาดที่กระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เซ็นทรัล วิลเลจ คว้ารางวัลใหญ่ระดับเอเชีย ‘Asia Pacific Property Awards 2020’ ด้าน Retail Development ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกระดับประเทศและเอเชีย ยกระดับรีเทลไทยให้เทียบเท่าเวทีระดับโลก ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ด้วยรูปแบบของเซ็นทรัล วิลเลจ ที่มีความแตกต่างจากศูนย์อื่นๆ อย่างชัดเจน และนำเสนอสินค้าคุณภาพแบรนด์เนมในราคาเอื้อมถึง เป็นสวรรค์ของนักช้อป และ Jigsaw สำคัญของ Retail Development ของประเทศที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ภาพรวมทราฟฟิกของเซ็นทรัล วิลเลจ ตลอดปี 2563 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ Recovery กลับมามากกว่า 85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยังคงเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จด้วย 5 กลยุทธ์หลัก 1)ต่อยอดความสำเร็จด้วยการเดินหน้าขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการผนึกกำลังกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย หนึ่งในบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บิ๊กอสังหาฯ ระดับโลก ที่มีบริษัทในเครือเป็นผู้พัฒนาเอาท์เล็ตที่มีสาขากว่า 9 แห่งทั่วญี่ปุ่น อาทิ โกเทมบะ ริงกุ ชิซุย ตั้งเป้าเป็น World- class outlet with Thai-Japanese hospitality เทียบชั้นเอาท์เล็ตระดับโลก โดยคาดว่าจะมีการสร้างแม็กเน็ตหรือ attraction ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมาเอาใจนักช้อปไทยและนักท่องเที่ยวเมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น รวมถึงได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากทั้งผู้เช่าเดิมที่ขยายพื้นที่ร้านค้าและผู้เช่าใหม่ๆ ที่สลับกันมาหมุนเวียน พร้อมเสริมทัพด้วย Pop-up stores กับแบรนด์ดัง อาทิ Reebok, Vans และอีเว้นท์หมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง 2)เสริมแกร่งด้วย Online Shopping Experience ผ่าน Chat & Shop ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างยอดขายจาก Brandname Lovers ทั่วประเทศช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา สร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 30% ทำให้ลูกค้าทุกคนไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนของประเทศไทย จะเป็นคนไทย หรือจะเป็น Expats ก็สามารถ ช้อปปิ้งออนไลน์ซื้อของในราคาดีลดีที่สุดได้ตลอด ถือเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเพิ่มยอดขายเพื่อชดเชยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง โดยแบ่งเป็นชาวไทย 80% Expats 20% 3)แคมเปญโปรโมชั่นมอบดีลที่ดีที่สุด ‘Keep the BEST DEAL Momentum’ และสร้างบรรยากาศในการช้อปปิ้งอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นยอดขายกับส่วนลดที่คุ้มค่าเพิ่มจากราคาเอาท์เล็ตมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีกระตุ้นการจับจ่ายช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ด้วยแคมเปญเซลยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจกับ ‘The Magical Year-end Sale 2021’ มหกรรมเซลครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีลดสูงสุด 90% ช้อปสร้างความสุขกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ส่วนลด on-top สุดคุ้มจากแบรนด์ดังมากมาย โดยก่อนหน้านี้มีแคมเปญต่อเนื่องมาตลอดปีที่ได้รับการตอบรับจากนักช้อปเป็นอย่างดี อาทิ Super Brand Grand Sale, Central Village 1 st Anniversary และล่าสุด Jim Thompson Clearance Sale เมื่อเดือนพ.ย. 63 โดยยอดขายเกินกว่าที่ตั้งเป้าถึง 30% และเรายังมีโปรโมชั่นอื่นๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อสร้างสีสันและกระตุ้นการจับจ่าย ช่วยเพิ่มยอดตัวเลขและช่วยให้ธุรกิจของคู่ค้าฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ 12.12 Double Mega Sale ซึ่งการันตีได้เลยว่ามาช้อปที่นี่จะได้สินค้าที่คุ้มค่าทุกการใช้ จ่ายแน่นอน เพราะเราลดสูงสุดถึง 90% ทุกวันตลอดทั้งปี และยังมีส่วนลดออนท็อป แจก Cash Voucher ที่นำมาใช้ช้อปต่อได้ รวมถึงของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย พร้อม Cash Back จากบัตรเครดิตร่วมรายการ อย่าลืมมาใช้ช้อปดีมีคืนให้คุ้มในช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการอีกด้วย 4)ศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำที่ส่วนใหญ่เป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย ทั้งแบรนด์ต่างประเทศและในประเทศกว่า 220 แบรนด์ใน 130 ร้านค้า และอีกกว่า 67 แบรนด์ ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store เฉพาะเซ็นทรัล วิลเลจ อาทิ ALICE+OLIVIA, CHLOÉ, COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, ETRO, JIMMY CHOO, KATE SPADE, KENZO, MARIMEKKO, MAX & CO., McQ, MICHAEL KORS, MOSCHINO, OUTLET BY CLUB21, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, VALENTINO, VIVIENNE WESTWOOD, BATH & BODY WORKS, COCCINELLE, MELISSA, SUNGLASS HUT, VICTORIA’S SECRET ที่จะมาเติมเต็มทุกมิติการช้อปปิ้งแบรนด์เนมในราคาลดทุกวันตลอดทั้งปี 5)ดีไซน์โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์น เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ตฝีมือคนไทย ได้รับรางวัล ‘Asia Pacific Property Awards 2020’ ด้าน Retail Development ซึ่งเป็นหนึ่งในรางวัลอันทรงเกียรติระดับเอเชียและเป็นที่ยอมรับในวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยรางวัลนี้ตัดสินจากผลการดำเนินงานอันยอดเยี่ยมด้านการออกแบบตกแต่งภายใน และสถาปัตยกรรม ด้วยเอกลักษณ์คอนเซ็ปต์ของศูนย์และแนวคิดการออกแบบ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ไทยโมเดิร์นผสานพื้นที่สีเขียวร่มรื่นและสวยงามในรูปแบบ Outdoor Shopping Space ทำให้โครงการนี้คว้ารางวัลใหญ่ระดับภูมิภาคมาได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกระดับประเทศและเอเชียตัวจริงแห่งวงการเอาท์เล็ตที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกในไทย” นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึง แม้ว่าปีนี้จะไม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอก แต่เซ็นทรัล วิลเลจ ก็จัดให้คนไทยได้มาช้อปสินค้าโปรโมชั่นที่ดีที่สุดจากแบรนด์ดังราคาดี เหมือนบินไปซื้อเมืองนอก มาเลือกซื้อของขวัญชิ้นพิเศษให้กับทุกคนที่คุณรักและตัวคุณเองท่ามกลางบรรยากาศ Festive Decoration ตระการตากับต้นคริสต์มาสตระหง่านกลางลานน้ำพุ ช้อปปิ้งในบรรยากาศเหมือนไปเที่ยวต่างประเทศ มาครั้งเดียวได้ของครบทั้งครอบครัว ครอบคลุมทุก category ทั้งแบรนด์เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เข็มขัด เครื่องหนัง เครื่องประดับ รวมถึงแอคเซสซอรี่อื่นๆ อุปกรณ์ไอที เครื่องใช้ในครัว อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าเด็ก ของเล่น ธนาคาร ร้านอาหารคาเฟ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต Tops Market และ Food Village
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จสำหรับเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกในไทย โดยเน้นการบุกเบิกตลาดและการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์ไทยโมเดิร์น ร่วมกับแคมเปญการตลาดที่สร้างกระแสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้บริษัทได้รับรางวัล "Asia Pacific Property Awards 2020" ในหมวด Retail Development เป็นการยืนยันความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกทั้งในระดับประเทศและเอเชีย รูปแบบของเซ็นทรัล วิลเลจ ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น โดยสามารถฟื้นตัวกลับมาได้มากกว่า 85% ในปี 2563 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน และบริษัทยังเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่: 1.บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา ได้ร่วมมือกับมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย เพื่อพัฒนาโครงการเอาท์เล็ต โดยมีเป้าหมายที่จะเป็น World-class outlet ด้วยมาตรฐาน Thai-Japanese hospitality พร้อมสร้างสิ่งดึงดูดใหม่ ๆ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เช่าเดิมและผู้เช่าใหม่ รวมถึง Pop-up stores จากแบรนด์ดัง เช่น Reebok และ Vans 2.บริษัทได้เสริมสร้างประสบการณ์การช้อปออนไลน์ผ่าน Chat & Shop ในช่วงโควิด ซึ่งส่งผลให้ยอดขายเติบโตมากกว่า 30% จาก Brandname Lovers ทั่วประเทศ พร้อมกับการเน้นโปรโมชั่นเพื่อชดเชยการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยแบ่งเป็นชาวไทย 80% และ Expats 20% 3.แคมเปญโปรโมชั่น 'Keep the BEST DEAL Momentum' มอบส่วนลดที่คุ้มค่า กระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงสิ้นปีด้วย 'The Magical Year-end Sale 2021' ที่มีส่วนลดสูงสุดถึง 90% รวมถึงโปรโมชั่นอื่น ๆ ที่กระตุ้นการจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง 4.ศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำที่มี Outlet Shop ครอบคลุม 220 แบรนด์ใน 130 ร้านค้า และ 67 แบรนด์ที่เปิด Exclusive Outlet Store เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของนักช้อป 5.ดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์น ได้รับรางวัล 'Asia Pacific Property Awards 2020' ในหมวด Retail Development ซึ่งยืนยันความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกในระดับประเทศและเอเชีย ในเทศกาลที่จะมาถึง แม้จะไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่เซ็นทรัล วิลเลจ ก็จัดโปรโมชั่นครบวงจรในทุกหมวดหมู่สินค้า เพื่อให้คนไทยได้ช้อปสนุกในบรรยากาศเหมือนต่างประเทศ พร้อมแบรนด์ชั้นนำและสินค้าครบทุกประเภท ให้คุณเลือกของขวัญพิเศษสำหรับคนที่คุณรักและตัวคุณเอง โดยมีบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวต่างประเทศ และยังครอบคลุมทุกสาขาร้าน ทั้งธนาคาร ร้านอาหาร คาเฟ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต Tops Market และ Food Village
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56955
Retail
ขอใจความสำคัญของ "เค.อี. มองไกลรุกแผน “เชื่อมต่อคอมมูนิตี้ มอลล์ กับ New Norm Lifestyle” หน่อยคะ
ศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. ผู้บริหารกอง REIT “BKER” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันบริหารศูนย์การค้าทั้ง 11 โครงการ ได้แก่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี), เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา, เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, อมอรินี รามอินทรา, แอมพาร์ค (จุฬา), เพลินนารี มอลล์ วัชรพล, สัมมากร รามคำแหง รังสิต ราชพฤกษ์, เดอะซีน และ เดอะคริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์ เตรียมรุกแผนกลยุทธ์เชื่อมต่อ คอมมูนิตี้ มอลล์ ให้เข้ากับ New Norm Lifestyle โดยมองว่า ขณะนี้ภาพรวมศูนย์การค้าทุกแห่ง เน้นการทำสถานที่ให้สะอาด มี social distancing และให้ลูกค้ามั่นใจในการมาใช้บริการ สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาคือ ความน่าชื่นชมที่ภาครัฐสามารถควบคุมการสาธารณสุข ให้การแพร่ระบาดลดน้อยลงอย่างมาก การที่ประชาชนมีความใส่ใจในการดูแลตัวเองและผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ในด้านการออกมาตรการปลดล็อกแบบค่อยเป็นค่อยไปของภาครัฐนั้น อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและจุดคุ้มทุนในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ในส่วนของศูนย์การค้า การจำกัดจำนวนคนในการเข้าใช้บริการร้านอาหาร แม้ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการเดินทางมาด้วยกัน หรือการลดประเภทบริการในหลายธุรกิจ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ อาทิ ฟิตเนส คลินิกเสริมความงาม สปา เป็นต้น จึงอยากขอให้ทางภาครัฐเร่งพิจารณาให้เปิดดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติ โดยให้ทางผู้ประกอบการและลูกค้าให้ความสำคัญในการดูแลความปลอดภัย ความสะอาดอย่างจริงจังตามมาตรฐานสากล ปัจจุบัน เรามองการเติบโตในอนาคต 5 ปีข้างหน้า โดยมีแผนว่าจะเป็นการเติบโตแบบ Organic Net Operating Income Growth ที่ 4-5% ต่อปี และการเติบโตแบบ Inorganic total asset value growth ที่ 15-20% ต่อปี เราเปิดกว้างการเติบโต โดยมองว่า คอมมูนิตี้มอลล์ ยังคงเติบโตได้ดี แม้ปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์ ตอบโจทย์ได้ดีกับลูกค้า ทำให้เรามองถึงการเชื่อมต่อกับนิวนอร์มได้อย่างชัดเจน แนวคิดการขยายธุรกิจที่เน้นแบบ Inorganic growth ได้แก่ 1) การลงทุนในโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในหรือต่างประเทศ โดยเราสามารถเข้าลงทุนได้ภายใน 3-6 เดือนนับจากการเข้าศึกษาข้อมูล 2) การลงทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือพันธมิตรธุรกิจ ในการพัฒนาที่ดิน ก่อสร้าง และบริหารงาน 3) การเข้าไปบริหารงาน ลักษณะเป็น Retail and property management เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้ากองรีท 4) การลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีความต้องการเราเป็น Strategic partner หรือ Financial partner โดยให้ความสนใจในโมเดลธุรกิจหลายประเภท อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้าที่มีการทำธุรกิจออฟไลน์ และออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ทางเราได้เตรียมแพลตฟอร์มในการสร้างและสานต่อธุรกิจประเภทตลาดอีเวนท์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในอนาคต โดยสามารถส่งข้อมูลให้ศึกษาได้ที่ email: [email protected] หรือ Line ID: @ke.bd กลุ่มบริษัท เค.อี. ได้เตรียมแผนงานในอนาคต โดยเน้น 2 เรื่องหลักคือ ทิศทางการสร้างรายได้จากการเติบโตของธุรกิจด้านรีเทล เรื่องที่สองการนำ Tech platform ที่เข้ามาใช้ในส่วนสำคัญ มุ่งเน้นเรื่อง Data Management, Revenue Management, Cost Management and Operation Management ที่เรามุ่งมั่นให้เป็นหัวใจในการเพิ่มประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์ธุรกิจที่มีความสำคัญในอันดับต้น โดยมีแผนร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ในการสร้าง Retail Platform ให้เกิดผลลัพธ์ที่ครบทุกมุมให้ได้ภายในไตรมาสที่สามของปีนี้
ศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เค.อี. ซึ่งเป็นผู้บริหารกอง REIT "BKER" ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันเขาบริหารศูนย์การค้า 11 โครงการที่ต่างกัน เตรียมรุกแผนกลยุทธ์เชื่อมต่อคอมมูนิตี้มอลล์กับ New Norm Lifestyle โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความสะอาดในการบริการลูกค้า และมองว่าการปรับตัวต่อสถานการณ์โควิดสามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ในส่วนของศูนย์การค้า การจำกัดจำนวนคนในการเข้าใช้บริการร้านอาหาร แม้ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการเดินทางมาด้วยกัน เพื่อเติบโตในอนาคต 5 ปีข้างหน้า มีแผนเติบโตแบบ Organic Net Operating Income Growth ที่ 4-5% ต่อปี และ Inorganic total asset value growth ที่ 15-20% ต่อปี โดยมุ่งเน้นการเติบโตแบบ Inorganic ในหลายด้าน เช่น ลงทุนในโครงการที่เปิดดำเนินการ, ลงทุนกับเจ้าของที่ดิน, บริหารงานร้านค้า, และลงทุนร่วมกับธุรกิจที่มีความต้องการ บริษัทเตรียมแผนงานในอนาคตด้วยการเน้นทิศทางการสร้างรายได้จากการเติบโตของธุรกิจด้านรีเทล และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูล รายได้, ต้นทุน, และดำเนินการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ สุดท้าย, บริษัทเตรียมตัวร่วมกับพันธมิตรใหญ่เพื่อสร้าง Retail Platform ที่มีผลลัพธ์ในไตรมาสที่สามของปีนี้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_56962
Retail
กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/2563 ของบริษัทพลิกฟื้นกลับมาแบบ V-shape หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กลยุทธ์ Omnichannel: เซ็นทรัล รีเทล ลงทุนใน Omnichannel อย่างมหาศาล พัฒนาระบบออนไลน์ เพิ่มช่องทางการซื้อขาย เช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, ไลน์ออฟฟิเชียล, ช้อปปิ้งผ่านโซเชียลมีเดีย ฯลฯ การผสานรวมช่องทาง: เซ็นทรัล รีเทล เชื่อมต่อช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์และมารับสินค้าที่หน้าร้าน หรือสั่งสินค้าออนไลน์และจัดส่งถึงบ้าน ตอบสนองความต้องการของลูกค้า: กลยุทธ์ Omnichannel ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างความสำเร็จ: ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของเซ็นทรัล รีเทล เติบโต 142% ในไตรมาส 3/2563 บริการ Click & Collect มียอดใช้บริการเพิ่มขึ้น 400% แอปพลิเคชัน Central Retail มียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านครั้ง ผลลัพธ์: รายได้รวมในไตรมาส 3/2563 ของเซ็นทรัล รีเทล เติบโต 15% จากไตรมาสที่แล้ว กำไรสุทธิ 869 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 2,519 ล้านบาท ในไตรมาสที่แล้ว สรุป: กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/2563 ของบริษัทพลิกฟื้นกลับมาแบบ V-shape กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มช่องทางการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อควรพิจารณา: - กลยุทธ์ Omnichannel ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ แต่เป็นการผสานรวมช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน - กลยุทธ์ Omnichannel ต้องการการลงทุนทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร - กลยุทธ์ Omnichannel ไม่ได้ประสบความสำเร็จกับทุกธุรกิจ ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มลูกค้า โดยสรุป กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/2563 ของบริษัทพลิกฟื้นกลับมาแบบ V-shape กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มช่องทางการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_56986
Retail
BUZZEBEES นำเสนอบริการที่หลากหลายครบวงจร 4 ธุรกิจหลักของ BUZZEBEES ช่วยสร้างประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจค้าปลีก
null
BUZZEBEES เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการเชื่อมต่อแบรนด์และธุรกิจกับลูกค้า โดยนำเสนอบริการที่หลากหลายครบวงจร 4 ธุรกิจหลักของ BUZZEBEES น่าจะมีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีก ดังนี้: 1. พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM & Loyalty Platform): - CRM ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า ติดตามพฤติกรรมการซื้อ วิเคราะห์ข้อมูล และนำข้อมูลไปใช้เพื่อพัฒนาสินค้า บริการ และกิจกรรมทางการตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น - Loyalty Platform ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างโปรแกรมสมาชิก มอบสิทธิพิเศษ และรางวัลให้กับลูกค้า เพื่อดึงดูดลูกค้า และรักษาฐานลูกค้าไว้ - ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ CRM และ Loyalty Platform เพื่อเพิ่มยอดขาย สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ 2. จัดหาของรางวัล และสิทธิพิเศษ (Rewards & Privileges Management): - BUZZEBEES มีเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง สามารถจัดหาของรางวัล และสิทธิพิเศษมากมายให้กับธุรกิจค้าปลีก - ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ของรางวัล และสิทธิพิเศษ เพื่อดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าอีก - BUZZEBEES สามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกออกแบบโปรแกรมรางวัล และสิทธิพิเศษให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 3. บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร (E-Commerce Service): - BUZZEBEES ให้บริการสร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ ระบบจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน ระบบขนส่งสินค้า และระบบบริการลูกค้า - ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า เพิ่มยอดขาย และเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ - BUZZEBEES สามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ และเพิ่มประสิทธิภาพการขายสินค้าออนไลน์ 4. บริการระบบจัดการร้านค้า และการรับชำระเงิน (Retail Solutions & E-Payment): - BUZZEBEES ให้บริการระบบ POS ระบบจัดการสินค้าคงคลัง ระบบบัญชี และระบบการรับชำระเงิน - ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้บริการระบบจัดการร้านค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการร้านค้า ลดต้นทุน และเพิ่มกำไร - BUZZEBEES สามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกพัฒนาระบบการรับชำระเงิน และรองรับรูปแบบการชำระเงินที่หลากหลาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56991
Retail
ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและธนาคารไทยพาณิชย์ จะช่วยยกระดับร้านค้าชุมชนในยุคดิจิทัลได้อย่างไร?
null
ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและธนาคารไทยพาณิชย์ จะช่วยยกระดับร้านค้าชุมชนในยุคดิจิทัลได้ดังนี้: 1. การเข้าสู่โลกไร้เงินสด: ร้านค้าชุมชนจะมีเครื่องมือรองรับการชำระเงินครบวงจร (Digital Payment) ผ่านแอปพลิเคชันแม่มณี ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าผ่านคิวอาร์โค้ด บัตรเครดิต/เดบิต และผ่อนชำระผ่านแอปพลิเคชันแม่มณี ช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่ใช้การชำระเงินแบบดิจิทัล ลดต้นทุนการจัดการเงินสด 2. การขยายช่องทางการจำหน่าย: ร้านค้าชุมชนสามารถขยายตัวเป็นร้านค้าออนไลน์กับ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” ช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า 3. การเสริมความรู้และทักษะ: ธนาคารไทยพาณิชย์จัดกิจกรรมเสริมความรู้ ต่อยอดธุรกิจ สร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน ช่วยให้ผู้ประกอบการมีทักษะในการทำธุรกิจบน E-commerce พัฒนาทักษะการผลิตสินค้า การตลาด และการบริการ 4. การเข้าถึงแหล่งเงินทุน: ธนาคารไทยพาณิชย์มีสินเชื่อเพื่อขยายกิจการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ช่วยให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนในการขยายธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ 5. การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า: ธนาคารไทยพาณิชย์จะช่วยขยายช่องทางการตลาด เพิ่มยอดขายให้ร้าน Smart Local ร้านค้าจะได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า ตัวอย่าง: ร้านขายของชำในชุมชนแห่งหนึ่งเข้าร่วมโครงการ Smart Local ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธนาคารไทยพาณิชย์ติดตั้งเครื่อง EDC ให้กับร้านค้าเพื่อรองรับการชำระเงินแบบดิจิทัล ร้านค้าสมัครใช้งานแอปพลิเคชันแม่มณีเพื่อเปิดร้านค้าออนไลน์ ธนาคารไทยพาณิชย์จัดอบรมให้กับเจ้าของร้านค้าเกี่ยวกับการทำธุรกิจบน E-commerce เจ้าของร้านค้าสมัครสินเชื่อเพื่อขยายกิจการกับธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์โปรโมทร้านค้าบน Social Media ของธนาคาร ผลลัพธ์: ร้านค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกมากขึ้น ชุมชนมีเศรษฐกิจที่คึกคัก สรุป: ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและธนาคารไทยพาณิชย์ จะช่วยยกระดับร้านค้าชุมชนในยุคดิจิทัล โดยช่วยให้ร้านค้ามีเครื่องมือรองรับการชำระเงินครบวงจร ขยายช่องทางการจำหน่าย เสริมความรู้และทักษะ เข้าถึงแหล่งเงินทุน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า ผลลัพธ์ที่ได้คือ ร้านค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกมากขึ้น และชุมชนมีเศรษฐกิจที่คึกคัก
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_56992
Retail
กลยุทธ์ใดที่ Krispy Kreme นำมาใช้เพื่อฟื้นฟูกิจการและกลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นอีกครั้ง? อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
null
1. ปรับโครงสร้างธุรกิจ -ลดต้นทุน: Krispy Kreme ปิดสาขาที่ทำกำไรน้อย ปรับลดจำนวนพนักงาน พัฒนาระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น -ปรับกลยุทธ์การตลาด: เน้นการตลาดดิจิทัล สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี ขยายช่องทางการจำหน่าย -พัฒนามิกซ์สินค้า: นำเสนอโดนัทหลากหลายรสชาติ เมนูใหม่ เครื่องดื่ม สินค้าอื่นๆ ดึงดูดลูกค้า 2. หาพันธมิตรทางธุรกิจ -จับมือกับ JAB Holding: JAB Holding บริษัทด้านการลงทุน เข้าซื้อกิจการ Krispy Kreme สนับสนุนเงินทุน ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี -ขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์: Krispy Kreme ขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์ เพิ่มจำนวนสาขา เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น 3. มุ่งเน้นการเติบโตระยะยาว -ขยายตลาดต่างประเทศ: Krispy Kreme มุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย -พัฒนาสินค้าใหม่: Krispy Kreme พัฒนาสินค้าใหม่ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น -ลงทุนในเทคโนโลยี: Krispy Kreme ลงทุนในเทคโนโลยี พัฒนาระบบการสั่งซื้อออนไลน์ การชำระเงิน การจัดส่ง ตัวอย่าง -ปรับโครงสร้างธุรกิจ: Krispy Kreme ปิดสาขามากกว่า 100 สาขาในสหรัฐอเมริกา ลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 10% ปรับลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาด -ปรับกลยุทธ์การตลาด: Krispy Kreme เน้นการตลาดดิจิทัล สร้างแคมเปญบนโซเชียลมีเดีย จับมือกับอินฟลูเอนเซอร์ -พัฒนามิกซ์สินค้า: Krispy Kreme นำเสนอโดนัทหลากหลายรสชาติ เมนูใหม่ เช่น โดนัทไส้ครีมชีส โดนัทช็อกโกแลต โดนัทผลไม้ -หาพันธมิตรทางธุรกิจ: Krispy Kreme จับมือกับ JAB Holding บริษัทด้านการลงทุน เข้าซื้อกิจการ สนับสนุนเงินทุน ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี -ขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์: Krispy Kreme ขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์ เพิ่มจำนวนสาขาในสหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย -มุ่งเน้นการเติบโตระยะยาว: Krispy Kreme มุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย เปิดสาขาในประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น -พัฒนาสินค้าใหม่: Krispy Kreme พัฒนาสินค้าใหม่ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น เช่น โดนัทชาเขียว โดนัทเผือก -ลงทุนในเทคโนโลยี: Krispy Kreme ลงทุนในเทคโนโลยี พัฒนาระบบการสั่งซื้อออนไลน์ การชำระเงิน การจัดส่ง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_57010
Retail
ความพิเศษในงาน KBTG Techtopia “Across the AI-Verse” คืออะไร
ความฝันที่จะได้สำรวจจักรวาล AI จะไม่ได้หยุดอยู่แค่ในโลกจินตนาการอีกต่อไป เพราะโอกาสอยู่แค่เอื้อมแล้ว เพียงแค่มาเช็กอินที่งาน “KBTG Techtopia” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1-2 กันยายน 2566 ณ อาคาร KBTG เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ก็เหมือนได้ตีตั๋วไปผจญภัยในเมืองเทคโนโลยี ท่องโลกของ AI ผ่านกิจกรรมและความสนุกมากมาย ที่จัดเต็มให้ทุกคนได้มาสำรวจและต่อยอดองค์ความรู้ พร้อมสำรวจเทรนด์ที่มาแรงที่สุดแห่งปี แบบครบจบในงานเดียว ว่าแต่อะไรคือ แรงบันดาลใจ ที่ทำให้ KBTG จัดงาน “KBTG Techtopia” ? ที่สำคัญงานนี้ มีไฮไลต์อะไรที่น่าสนใจบ้าง ? “KBTG Techtopia” เป็นโปรเจกต์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจที่อยากให้กลุ่มคนในวงการเทคโนโลยี ได้มาศึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำเอาสิ่งใหม่ ๆ ในด้านของเทคโนโลยี ไปปรับใช้ในงานต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าเราจะเจอวิกฤติของโควิด 19 อย่างต่อเนื่องทั่วโลก แต่เราได้พิสูจน์แล้วว่าในเรื่องของ AI และเทคโนโลยี ไม่ได้หยุดอยู่กับที่เลย แต่ยังคงเติบโตท่ามกลางวิกฤติที่ทุก ๆ ประเทศ รวมถึง KBTG ต้องเจอ KBTG เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย ที่ไม่เคยหยุดยั้งในการคิดค้นนวัตกรรม และพัฒนาระบบเทคโนโลยีทางการเงิน ในฐานะขุมกำลัง ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธนาคารกสิกรไทย โดยหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของ KBTG คือ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อ Empower ผู้คนกว่า 100 ล้านคน ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของ KBTG ในการเป็นผู้นำด้าน AI ของไทย KBTG จึงตั้งใจจัดงาน KBTG Techtopia ในธีม “Across the AI-Verse” ที่มีจุดเด่น คือ เป็นงานสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้ครั้งแรกของ KBTG ซึ่งไม่ได้เน้นแค่การถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการเสวนา แต่อยากให้ผู้ร่วมงานไปมีประสบการณ์จริง จึงเป็นที่มาของธีม “Across the AI-Verse” ที่จัดเต็มด้วยหลากหลายกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Conference Stage เวทีสัมมนาที่รวบรวมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จาก KBTG ไปจนถึงสถาบันและองค์กรชั้นนำในหลากหลายแวดวงทั่วโลก มากกว่า 20 คน ที่ K Stadium โดยหัวข้อในการสัมมนา ประกอบด้วย - AI Trend and Outlook สัมผัสอิทธิพลของ AI ผ่านเทรนด์และนวัตกรรมเกิดใหม่ - AI Transformation สเต็ปอัปการทรานส์ฟอร์เมชันองค์กรในหลากมิติด้วย AI - AI x Human สำรวจสารพัดปัจจัยที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI - AI Ecosystem ส่องธุรกิจแห่งโลกอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ งานนี้ ไม่ต้องกลัวว่า ภาษาจะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูล เพราะมีทั้งเซสชันที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ Close Ad Close Ad เติมอาหารสมองกันจนจุใจแล้ว ภายในงานยังมี Showcase Exhibition ให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสกระทบไหล่กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่จะมาจัดบูธโชว์ผลงาน ทั้ง Google Cloud, Cisco, Splunk, Slack, GitHub & Microsoft, Elastic, Dynatrace, Curiosity Software และ Palo IT แถมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาสัมผัสกับโปรเจกต์ที่ KBTG Labs และบริษัทในเครืออย่าง KX และ Kubix ทำอีกด้วย สำหรับโปรเจกต์ที่ KX ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปด้าน Decentralized Finance and Beyond ทำก็เช่น - Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ที่สามารถขายผลงานศิลปะ NFT ได้ง่าย และสะดวกรวดเร็ว - Bigfin เครื่องมือวิเคราะห์ และดูแลพอร์ตการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี และสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่โปรเจกต์ที่ KBTG Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รวมพลคนมีความรู้ด้านธุรกิจและผลิตภัณฑ์ การออกแบบ UX/UI และการทำวิจัยด้านเทคโนโลยีที่ทำเช่น - Future You ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประยุกต์ใช้เพื่อสร้างตัวตนเสมือนจริงของเราในอนาคต - NLP เทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษาไทยของแช็ตบอต KBank รวมไปถึงพัฒนา AI ที่นำไปใช้ทางการตลาด - คู่คิด แช็ตบอตให้คำปรึกษาที่จะให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ กับผู้ใช้งาน โดยจะให้คำตอบผ่านมุมมองของ “คชา” และ “คะน้า” ที่จะถูกเทรนให้มีบุคลิกที่แตกต่างกัน และยังมี Smart retailsม Car AI/Computer Vision, Face liveness testing และ Datasci ที่ยกทัพกันมาให้ทุกคนได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดในงาน หลังจากได้ต่อยอดความรู้ผ่านตัวจริงในวงการแล้ว ยังสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรม Playground Workshop เวิร์กช็อปเสริมสร้างสกิลด้าน AI ในมิติต่าง ๆ ซึ่งออกแบบและจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญ จากองค์กรชื่อดังอย่าง Google Cloud, Microsoft, Splunk และทีม Beacon Interface จาก KBTG สำหรับวันที่ 1 กันยายน พบกับเวิร์กช็อป Designing AI Products เวลา 10.00-12.00 น. และ AI CODE OFF เวลา 13.00-16:00 น. วันที่ 2 กันยายน พบกับเวิร์กช็อป Security Fun Test โดย Splunk เวลา 10.00-12.00 น. และ Generative AI โดย Google เวลา 14.00-16.00 น. อีกหนึ่งไฮไลต์เด็ดที่พลาดไม่ได้ คือ ช่วงเย็นของงานในแต่ละวัน จะมีกิจกรรม KBTG FinFest ปาร์ตี Networking ที่เปิดให้ผู้ร่วมงานได้มาร่วมพูดคุย เพลิดเพลินไปกับอาหาร เครื่องดื่ม และชิลไปกับ DJ Tob จาก Bangkok Invaders/Southside นอกจากนี้ใครที่กำลังมองหา Business Matching ก็สามารถใช้โอกาสนี้ มาร่วมพูดคุยกับทีม Coral, Kubix และทีม Biometric Authentication (AINU) แบบ 1:1 เพื่อปรึกษาพร้อมหาโซลูชันตอบโจทย์ทางธุรกิจ หรือหากเป็นสายเทคโนโลยี ที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ สามารถมาร่วม Speed Dating เพื่อมาพบปะกับทีม Talent Acquisition ของ KBTG มาคลิกกันดู ให้คุณได้รู้จักเรามากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่า มางานเดียว ได้ทั้งอรรถรส ความรู้ ประสบการณ์ คอนเน็กชัน และโอกาสที่จะเติบโตในวงการ AI กลับไปครบ ใครไม่อยากพลาดโอกาสที่ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และซื้อบัตรร่วมงาน ได้ที่ เปิดจำหน่ายบัตรแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป ราคา 1,500 บาท และนักเรียน/นักศึกษา ราคา 500 บาท งานนี้ บอกเลยว่านอกจากราคาบัตรจะคุ้มเกินคุ้ม เมื่อเทียบกับประสบการณ์ โอกาส และความรู้ที่ได้รับ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารกสิกรไทย ในการขับเคลื่อนธุรกิจบนหลักการ ESG เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน KBTG ยังนำรายได้จากการขายบัตรทั้งหมด ส่งมอบให้กับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute: TEI) อีกด้วย เอาเป็นว่าวันที่ 1-2 กันยายนนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นสายเทคโนโลยีหรือไม่ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปเจอกันที่งาน KBTG Techtopia
KBTG Techtopia: Across the AI-Verse – การผจญภัยในจักรวาล AI เตรียมพบกับงาน KBTG Techtopia ที่จะพาทุกคนไปสำรวจจักรวาลของ AI โดยไม่ต้องอยู่แค่ในจินตนาการอีกต่อไป! มาร่วมเช็กอินในวันที่ 1-2 กันยายน 2566 ณ อาคาร KBTG เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อสัมผัสกับโลกเทคโนโลยีและกิจกรรมสนุก ๆ มากมาย ที่จะช่วยต่อยอดความรู้และสำรวจเทรนด์ใหม่ ๆ ในวงการ AI แรงบันดาลใจและจุดมุ่งหมาย KBTG จัดงานนี้ขึ้นเพื่อให้ผู้คนในวงการเทคโนโลยีได้มาศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เราได้พิสูจน์ว่า AI และเทคโนโลยียังคงเติบโต แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 KBTG เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและ Empower ผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไฮไลต์ของงาน KBTG Techtopia เป็นการสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมกิจกรรมมากมาย เช่น: - Conference Stage: สัมมนาโดยผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กว่า 20 คน - AI Trend and Outlook: อัปเดตเทรนด์และนวัตกรรม AI - AI Transformation: การปรับเปลี่ยนองค์กรด้วย AI - AI x Human: การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI - AI Ecosystem: ธุรกิจในอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในงานยังมี Showcase Exhibition ที่เปิดโอกาสให้ได้พบกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Google Cloud, Cisco, Splunk, Slack, GitHub, Microsoft, และอื่น ๆ พร้อมโปรเจกต์ที่น่าสนใจจาก KBTG Labs และ KX ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์ม NFT Marketplace และเครื่องมือวิเคราะห์พอร์ตการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_57015
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ห้างสรรพสินค้าแห่งอนาคตจะต้องผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า เทคโนโลยี AR, VR, 3D printing และ AI ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการช้อปปิ้งในอนาคต ห้างสรรพสินค้าที่สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด จะประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล
null
ห้างสรรพสินค้าแห่งอนาคต: การผจญภัยของมิน มิน เด็กสาววัย 16 ปี ผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักออกแบบแฟชั่น กำลังเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลกับครอบครัวของเธอ ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไม่ใช่ห้างธรรมดา แต่มันคือห้างสรรพสินค้าแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและประสบการณ์การช้อปปิ้งสุดพิเศษ ทันใดนั้นเอง เสียงเพลงที่ไพเราะก็ดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของมิน เธอเดินตามเสียงเพลงไปจนพบกับเวทีขนาดใหญ่ บนเวทีมีนางแบบกำลังเดินแฟชั่นโชว์ โดยใช้เทคโนโลยี AR ฉายภาพเสื้อผ้าเสมือนจริงบนตัวนางแบบ มินรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เธอเห็น เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน หลังจากจบแฟชั่นโชว์ มินก็ตัดสินใจไปที่บูธของแบรนด์เสื้อผ้าที่เธอชื่นชอบ พนักงานที่บูธยิ้มแย้มแจ่มใสและให้การต้อนรับเธออย่างดี พนักงานแนะนำมินให้ลองใช้แอปพลิเคชันใหม่ของแบรนด์ แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้มินสามารถออกแบบเสื้อผ้าของตัวเองได้ตามใจชอบ มินสนุกกับการออกแบบเสื้อผ้ามาก เธอใช้เวลานานกว่าชั่วโมงในการออกแบบเสื้อผ้าในฝันของเธอ เมื่อมินออกแบบเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พนักงานก็สแกนแบบเสื้อผ้าของเธอด้วยเครื่องสแกน 3 มิติ จากนั้นเครื่องพิมพ์ 3 มิติก็เริ่มทำงาน พิมพ์เสื้อผ้าของมินออกมาภายในเวลาไม่กี่นาที มินรู้สึกทึ่งกับเทคโนโลยีนี้ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถพิมพ์เสื้อผ้าของตัวเองได้ง่ายขนาดนี้ มินรู้สึกมีความสุขมากกับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งอนาคต เธอได้พบกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและประสบการณ์การช้อปปิ้งสุดพิเศษที่เธอไม่เคยพบมาก่อน ประสบการณ์นี้ทำให้มินมุ่งมั่นที่จะพัฒนาฝีมือการออกแบบแฟชั่นของเธอให้เก่งยิ่งขึ้น เธอหวังว่าวันหนึ่งเธอจะได้ออกแบบเสื้อผ้าของตัวเองขายในห้างสรรพสินค้าแห่งอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_57022
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เรื่องราวของม่านม่าน แสดงให้เห็นว่าความฝันเป็นสิ่งที่สามารถเป็นจริงได้ หากเรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต
null
ม่านม่าน สาวน้อยผู้ใฝ่ฝันสู่โลกแฟชั่น ม่านม่าน เด็กสาววัย 20 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีสุดท้ายของคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เธอมีความใฝ่ฝันอยากทำงานในสายแฟชั่นมาโดยตลอด ด้วยแรงบันดาลใจจากแม่ของเธอที่เคยเป็นดีไซเนอร์มาก่อน วันหนึ่ง ม่านม่านมีโอกาสได้อ่านบทความเกี่ยวกับ ยัสปาล กรุ๊ป บริษัทแฟชั่นชั้นนำของไทย ที่กำลังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ บทความนั้นพูดถึงความสำเร็จของยัสปาล กรุ๊ป ในการนำแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง Marimekko และ Camper เข้ามาทำตลาดในเวียดนามและมาเลเซีย ม่านม่านรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวนี้มาก เธออ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์และแนวทางที่ยัสปาล กรุ๊ป ใช้ในการขยายธุรกิจ “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากทำ!” ม่านม่านอุทานกับตัวเอง เธอตัดสินใจเขียนจดหมายสมัครงานไปยังยัสปาล กรุ๊ป ด้วยความมุ่งมั่นและความรู้ที่เธอมี ม่านม่านได้รับเชิญให้เข้าสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างเข้มข้น แต่ด้วยความมั่นใจและความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแฟชั่น ม่านม่านสามารถตอบคำถามของคณะกรรมการได้อย่างน่าประทับใจ ในที่สุด ม่านม่านก็ได้รับการตอบรับให้เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย Retail เธอรู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของยัสปาล กรุ๊ ม่านม่านทุ่มเททำงานอย่างหนัก เรียนรู้จากรุ่นพี่และผู้บริหารอย่างใกล้ชิด เธอมีโอกาสได้ร่วมงานในโปรเจคสำคัญต่างๆ มากมาย ด้วยความขยันและความสามารถของเธอ ม่านม่านได้รับการโปรโมทให้เป็นผู้จัดการฝ่าย Retail ในตำแหน่งนี้ ม่านม่านมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการขยายสาขาของแบรนด์ Marimekko และ Camper ในต่างประเทศ เธอทำงานอย่างหนัก เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อศึกษาตลาดและหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดสาขา ด้วยความพยายามของเธอ ยัสปาล กรุ๊ป สามารถขยายสาขาของ Marimekko และ Camper ได้อย่างรวดเร็ว ม่านม่านรู้สึกภูมิใจกับผลงานของเธอมาก เธอรู้ว่าเธอได้ทำตามความฝันของเธอแล้ว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_57023
Retail
แคมเปญ “The 1 วันแบกพอยท์” มอบสิทธิประโยชน์อะไรให้กับลูกค้าและร้านค้าอย่างไร?
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “แคมเปญ “The 1 วันแบกพอยท์” เป็นอีกหนึ่ง Road Map ภายใต้ The 1 BIZ ซึ่งเป็น Synergy Program ระหว่างเซ็นทรัลพัฒนา เบอร์ 1 ศูนย์การค้าไทยกับ The 1 ดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้แพลตฟอร์มอันดับ 1 ของไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรในกลุ่มเซ็นทรัลที่เป็นตัวจริงด้าน Big Data ระดับประเทศ โดยแคมเปญดังกล่าวนอกจากจะเป็นการย้ำเตือนสมาชิก The 1 ในการรับสิทธิ์สะสมคะแนน The 1 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ ง่ายๆ เพียงแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ทุกครั้ง เพื่อนำไปแลกคะแนนสะสม และนำไปแลกส่วนลดสำหรับช็อปครั้งต่อไป อีกทั้งแคมเปญดังกล่าวยังเป็นการดึงกำลังซื้อครึ่งปีหลัง ด้วยการมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ด้วยโปรโมชัน ช็อปเท่าไร ได้พอยท์คืนเท่านั้น สูงสุด 25 เท่า* โดยมีร้านค้าร่วมแคมเปญ 600 แบรนด์ รวมกว่า 2,000 ร้านค้า ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. – 31 ต.ค. 2566 มีร้านค้าที่น่าสนใจ เช่น Starbucks, adidas, Pomelo, Mango, Hoka, INNISFREE, iStudio by copperwired, Jaymart, Spaghetti Factory ฯลฯ นับเป็นช่วงเวลาพิเศษของลูกค้าอย่างแท้จริง เรามั่นใจว่าแคมเปญนี้ จะสร้างบรรยากาศความคึกคักในการจับจ่าย ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่ร่วมโปรแกรม The 1 BIZ พร้อมช่วยให้ร้านค้าและธุรกิจต่างๆ เติบโตด้วยกันในแบบ cross-region จากการมีฐานลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ รวมไปถึงเพิ่มการ Synergy ระหว่างธุรกิจหลักใน Retail-Led Mixed-Use Development ประกอบด้วยศูนย์การค้า, โรงแรม, ที่อยู่อาศัย และออฟฟิศ เป็น Seamless Journey ให้กับลูกค้าและยังเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้กับร้านค้าผู้เช่าได้เติบโตไปด้วยกัน กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ Managing Director - The 1 กล่าวว่า การมอบประสบการณ์ที่ตรงใจและครอบคลุมทุกความต้องการของสมาชิกนั้นเป็นเป้าหมายหลักที่ The 1 ยึดถือมาโดยตลอด โดยหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวคือความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์คนสำคัญอย่างเซ็นทรัลพัฒนา เพื่อที่จะยกระดับสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกได้อย่างครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ในส่วนของการสะสมคะแนน The 1 เราได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากสมาชิกซึ่งให้ความสำคัญกับการสะสมคะแนนผ่านการทุกใช้จ่ายกับแบรนด์ใน The 1 Ecosystem รวมถึงแบรนด์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศมาโดยตลอด ทั้งนี้ The 1 และเซ็นทรัลพัฒนายังคงเปิดกว้างให้แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาร่วมใน Ecosystem ของเราอยู่เสมอ เราจึงยินดีอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในการเปิดตัวแคมเปญ “The 1 วันแบกพอยท์” ในครั้งนี้ที่จะช่วยทวีคูณความสุขคืนกลับสู่สมาชิกได้ด้วยคะแนน The 1 ที่มากขึ้น เรียกได้ว่า ช็อปเท่าไร ได้พอยท์คืนเท่านั้น สูงสุด 25 เท่า* โดยสมาชิก The 1 สามารถกดรับสิทธิ์ได้อย่างสะดวกสบายบน The 1 APP ทั้งยังสามารถติดตามสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมถึงแคมเปญดีๆ เช่นนี้ได้ทุกวัน
แคมเปญ “The 1 วันแบกพอยท์” มอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าและร้านค้าดังนี้ สำหรับลูกค้า -สะสมคะแนน The 1 เพิ่มเติม -ลูกค้าสามารถสะสมคะแนน The 1 ได้เมื่อช้อปปิ้งที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ 600 แบรนด์ รวมกว่า 2,000 ร้านค้า ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ -ลูกค้าสามารถสะสมคะแนน The 1 เพิ่มเติม สูงสุด 25 เท่า* -คะแนน The 1 ที่สะสมได้สามารถนำไปแลกส่วนลดสำหรับช็อปครั้งต่อไป ตัวอย่าง -ลูกค้าช้อปปิ้ง 1,000 บาท ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ -ลูกค้าจะได้รับคะแนน The 1 เพิ่มเติม 250 คะแนน (25%) -ลูกค้าสามารถใช้คะแนน The 1 ที่สะสมได้ 250 คะแนน แลกเป็นส่วนลด 25 บาท สำหรับการช้อปครั้งต่อไป โปรโมชันพิเศษ ลูกค้าสามารถรับโปรโมชันพิเศษจากร้านค้าที่ร่วมรายการ เช่น ส่วนลดเพิ่ม, ของแถมฟรี, สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก The 1 ตัวอย่าง -ร้าน Starbucks มอบส่วนลด 10% เพิ่มเติมสำหรับสมาชิก The 1 -ร้าน adidas มอบของแถมฟรีสำหรับการช้อปครบ 2,000 บาท -ร้าน Mango มอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก The 1 ได้รับส่วนลด 15% สำหรับสินค้าใหม่ สำหรับร้านค้า 1. ดึงดูดลูกค้า -แคมเปญนี้ช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปปิ้งที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ -ร้านค้าสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของ The 1 2. กระตุ้นยอดขาย -แคมเปญนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า -ร้านค้าสามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ตัวอย่าง -ร้าน Starbucks คาดหวังว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 10% จากแคมเปญนี้ -ร้าน adidas คาดหวังว่าจะสามารถขายสินค้าใหม่ได้มากขึ้นจากแคมเปญนี้ -ร้าน Mango คาดหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าสมาชิก The 1 โดยสรุป แคมเปญ “The 1 วันแบกพอยท์” เป็นประโยชน์ต่อทั้งลูกค้าและร้านค้า ลูกค้าสามารถสะสมคะแนน The 1 เพิ่มเติมและรับโปรโมชันพิเศษ ร้านค้าสามารถดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แคมเปญนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ The 1 BIZ ของเซ็นทรัลพัฒนาและ The 1 ซึ่งมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและช่วยให้ร้านค้าเติบโตไปด้วยกัน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_57024
Retail
อะไรคือจุดเด่นของการบริการสินเชื่อรถยนต์มือสองออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION ของธนาคารไทยพาณิชย์ และกลยุทธ์นี้จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของธนาคารไทยพาณิชย์อย่างไร
ไทยพาณิชย์ จับมือ โอมาคาเสะ คาร์ ผู้ให้บริการซื้อ-ขายรถมือสองชั้นนำ พลิกโฉมการบริการสินเชื่อรถยนต์มือสองออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION บนสมาร์ทโฟนที่รองรับระบบปฏิบัติ iOS และ Android รู้ผลการอนุมัติเร็ว ด้วยระบบการประเมินสินเชื่อล่วงหน้า พร้อมเงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษและระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 72 เดือน นายวิฑูรย์ พรสกุลวานิช รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Integrated Channels และรักษาการ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังโควิด และแรงกดดันจากปัจจัยเงินเฟ้อที่ทำให้กำลังซื้อลดลง ทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ หันมาให้ความสนใจกับตลาดรถยนต์มือสองมากขึ้น เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่ารถยนต์ใหม่ ประกอบกับผู้ให้บริการซื้อขายรถยนต์มือสองยกระดับการพัฒนารูปแบบการให้บริการในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว ลูกค้าสามารถคัดสรรรถยนต์คุณภาพได้ด้วยตัวเอง ส่งผลให้ตลาดรถยนต์มือสองมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเทรนด์การเติบโตดังกล่าว จึงเป็นโอกาสดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมมือกับ บริษัท โอมาคาเสะ คาร์ จำกัด (Omakase Car Co., Ltd.) ผู้ให้บริการซื้อ-ขายรถมือสองกลุ่มตรีเพชร เพื่อให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ที่ประมูลรถยนต์ในบริการรูปแบบใหม่ผ่านแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION โดยไทยพาณิชย์นำประสบการณ์ในการให้บริการสินเชื่อรถยนต์อย่างยาวนาน รวมถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างประสบการณ์การดูแลลูกค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม จึงสามารถให้การประเมินสินเชื่อออนไลน์ล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION บนมือถือ พร้อมนำเสนอเงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษและระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 72 เดือนแก่ผู้สนใจประมูลรถยนต์มือสองออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวภายในระยะเวลารวดเร็ว “เราเชื่อมั่นว่าผู้ใช้งานจะพึงพอใจเป็นอย่างมากกับการประมูลซื้อ-ขายรถที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว โปร่งใส และได้รถยนต์มาตรฐานในราคาที่คุ้มค่า พร้อมรู้ผลการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วจากธนาคารฯ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น” นายวิฑูรย์ กล่าว นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่กลุ่มตรีเพชรได้เปิดตัวธุรกิจซื้อ-ขายรถมือสอง “โอมาคาเสะ คาร์” มาเกือบ 3 ปี ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ลูกค้าให้ความไว้วางใจในด้านคุณภาพของทั้งตัวรถและบริการ เพราะรถทุกคันของตรีเพชรฯ มีประวัติการซ่อมบำรุงย้อนหลังที่สามารถตรวจสอบประวัติได้ ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจ โดยในปีนี้ธุรกิจ “โอมาคาเสะ คาร์” ก้าวไปอีกขั้นเพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อ-ขายของผู้นาบริโภคในโลกดิจิทัล ด้วยบริการรูปแบบใหม่ “OMAKASE CAR AUCTION” การประมูลรถยนต์มือสองออนไลน์รูปแบบใหม่ผ่านทางแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้เข้าถึงรถยนต์อีซูซุมือสองที่มีคุณภาพได้สะดวก รวดเร็ว หลากหลายรุ่นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนผ่านการประมูลอย่างโปร่งใส โดยรถที่นำมาประมูลนั้น ได้ผ่านขั้นตอนการคัดรถยนต์จากแหล่งที่เชื่อถือได้จากบริษัทฯและสถาบันการเงินชั้นนำ ผ่านการจัดเกรดรถที่มีมาตรฐานโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ ก่อนนำรถเข้าสู่กระบวนการตรวจเช็กสภาพกว่า 220 รายการ ด้วยเครื่องมือวินิจฉัยรถยนต์ที่ทันสมัย เพื่อตรวจเช็กการทำงานของระบบรถยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ และผ่านการตรวจสอบโครงสร้างตัวถังรถที่แม่นยำ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 3 มิติ ที่ตรวจวัดแบบเรียลไทม์ พร้อมพิมพ์ใบแสดงรายงานผลการตรวจเช็กคุณภาพของโอมาคาเสะ คาร์ ก่อนนำรถเข้าสู่การประมูลออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน พร้อมบริการหลังการขายครบวงจรรวมทั้งบริการสินเชื่อจากธนาคารไทยพาณิชย์ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลรถยนต์อีซูซุ เพื่อขอสินเชื่อกับธนาคารไทยพาณิชย์ จะเริ่มในวันที่ 19 – 20 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION หรือ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @omakasecarauction
การบริการสินเชื่อรถยนต์มือสองออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION ของธนาคารไทยพาณิชย์ มีจุดเด่น ดังนี้ สะดวกรวดเร็ว: -ลูกค้าสามารถประมูลรถยนต์มือสองและยื่นขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขาธนาคาร รู้ผลอนุมัติเร็ว: -ธนาคารใช้ระบบประเมินสินเชื่อล่วงหน้า ทำให้ลูกค้ารู้ผลอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็ว เงื่อนไขพิเศษ: -ธนาคารเสนอเงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษและระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 72 เดือน รถยนต์มาตรฐาน: -รถยนต์ที่นำมาประมูลทุกคันผ่านการตรวจสอบสภาพอย่างละเอียดจากโอมาคาเสะ คาร์ โปร่งใส: -การประมูลรถยนต์เป็นแบบออนไลน์ โปร่งใส ตรวจสอบได้ กลยุทธ์นี้ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของธนาคารไทยพาณิชย์ ดังนี้ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: -ธนาคารสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ต้องการซื้อรถยนต์มือสอง ขยายฐานลูกค้า: -ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ใช้แอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION เพิ่มยอดขาย: -ธนาคารสามารถเพิ่มยอดขายสินเชื่อรถยนต์มือสอง สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า: -ธนาคารสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านบริการสินเชื่อรถยนต์มือสองออนไลน์ที่สะดวกรวดเร็ว เสริมสร้างภาพลักษณ์: - ธนาคารเสริมสร้างภาพลักษณ์ของธนาคารที่ทันสมัยและเข้าใจความต้องการของลูกค้า ตัวอย่าง: -ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION และค้นหารถยนต์มือสองที่ต้องการประมูล -ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติของรถยนต์แต่ละคัน -ลูกค้าสามารถยื่นขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน -ธนาคารจะประเมินสินเชื่อล่วงหน้าและแจ้งผลให้ลูกค้าทราบ -หากลูกค้าได้รับอนุมัติสินเชื่อ ลูกค้าสามารถเข้าร่วมประมูลรถยนต์ -หากลูกค้าประมูลรถยนต์สำเร็จ ธนาคารจะโอนเงินให้กับผู้ขาย และลูกค้าสามารถรับรถยนต์ได้ สรุป: -การบริการสินเชื่อรถยนต์มือสองออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน OMAKASE CAR AUCTION ของธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ช่วยให้ธนาคารสามารถเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของธนาคาร -กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับเทรนด์การเติบโตของตลาดรถยนต์มือสอง และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ -คาดว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ธนาคารไทยพาณิชย์ประสบความสำเร็จในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสอง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_57025
Retail
เซ็นทรัลพัฒนา จะขยายพื้นที่ค้าปลีกอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า?
null
กลยุทธ์หลักที่เซ็นทรัลพัฒนาจะใช้ในการขยายพื้นที่ค้าปลีก มีดังนี้: 1) พัฒนาศูนย์การค้าขนาดใหญ่: เซ็นทรัลพัฒนาจะพัฒนาศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 50 แห่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ศูนย์การค้าเหล่านี้จะตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง เช่น ใจกลางเมืองและย่านธุรกิจ 2) ขยายคอมมูนิตี้มอลล์: เซ็นทรัลพัฒนาจะขยายธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ โดยจะเปิดคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ 16 แห่ง คอมมูนิตี้มอลล์เหล่านี้จะตั้งอยู่ในย่านชุมชนและทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ 3) พัฒนาโครงการมิกซ์ยูส: เซ็นทรัลพัฒนาจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มเติม โดยโครงการเหล่านี้จะรวมศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมเข้าไว้ด้วยกัน โครงการมิกซ์ยูสเหล่านี้จะช่วยดึงดูดลูกค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ตัวอย่างของโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่เซ็นทรัลพัฒนาจะพัฒนาในอีก 5 ปีข้างหน้า: - เซ็นทรัล เวสต์วิลล์: ศูนย์การค้าขนาดใหญ่แห่งใหม่บนพื้นที่ 40 ไร่ บนถนนราชพฤกษ์ - เซ็นทรัล อีสต์วิลล์: ศูนย์การค้าขนาดใหญ่แห่งใหม่บนพื้นที่ 30 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด - เซ็นทรัล ศรีราชา: ศูนย์การค้าขนาดใหญ่แห่งใหม่บนพื้นที่ 50 ไร่ ในจังหวัดชลบุรี ตัวอย่างของคอมมูนิตี้มอลล์ที่เซ็นทรัลพัฒนาจะเปิดในอีก 5 ปีข้างหน้า: - เซ็นทรัล อเวนิว พระราม 9: คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่บนพื้นที่ 20 ไร่ บนถนนพระราม 9 - เซ็นทรัล อเวนิว บางนา: คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่บนพื้นที่ 15 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด - เซ็นทรัล อเวนิว รังสิต: คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่บนพื้นที่ 10 ไร่ บนถนนพหลโยธิน การขยายพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัลพัฒนา จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร: - สร้างงาน: การขยายพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัลพัฒนา จะช่วยสร้างงานใหม่หลายหมื่นตำแหน่ง - กระตุ้นเศรษฐกิจ: การขยายพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัลพัฒนา จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว - พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การขยายพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัลพัฒนา จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น - ยกระดับคุณภาพชีวิต: การขยายพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัลพัฒนา จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมอบตัวเลือกการช้อปปิ้งและความบันเทิงที่หลากหลาย โดยสรุป เซ็นทรัลพัฒนา มีแผนที่จะขยายพื้นที่ค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า การขยายพื้นที่ค้าปลีกนี้ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยสร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิต
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_57029
Retail
สยามพิวรรธน์ ได้นำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในยุค New Normal หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: สยามพิวรรธน์ได้เปิดตัววิสัยทัศน์ “New Beginning - New Smile” มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ที่ผสมผสาน Omni Shopping Channel เข้ากับ Sustainable Living Community มีการนำเสนอแพลตฟอร์มออนไลน์ "Siam Paragon Virtual Store" ให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากที่บ้าน มีการขยายพื้นที่ "ไอคอนคราฟต์" แหล่งรวมสินค้าหัตถกรรมไทยและสินค้าชุมชน ส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย มีการจัดงาน "Siam Piwat Virtual World" งานแฟร์ออนไลน์ที่รวบรวมสินค้าจากร้านค้าในเครือสยามพิวรรธน์ มีการนำเสนอมาตรการ "Innovative Health & Safety" เน้นย้ำความปลอดภัยและสุขอนามัยภายในศูนย์การค้า มีการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ในการพัฒนาระบบนิเวศน์ธุรกิจค้าปลีก (Retail Ecosystem) ตัวอย่างเพิ่มเติม: สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน "OneSiam" เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการช้อปปิ้ง มีการนำเสนอบริการ "Click & Collect" ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และมารับสินค้าที่หน้าร้านได้ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า สรุป: สยามพิวรรธน์ ได้นำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในยุค New Normal ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ ผสมผสานโลกออนไลน์และออฟไลน์ เข้าด้วยกัน ส่งเสริมความยั่งยืน และสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_57030
Retail
ช่วยสรุปเกี่ยวกับ ไทวัสดุ กลุ่มฮาร์ดไลน์ของเซ็นทรัล รีเทล ปี 2566 จ่อขยายเพิ่มอีก 10 สาขา
ไทวัสดุ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล (CRC) เปิดศักราชการลงทุนปี 2566 เตรียมขยายไทวัสดุ 10 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ชูไตรมาสแรก บุกเปิดสาขาครบทุกภาค รังสิต โคราช กำแพงเพชร และภูเก็ต ภายในปี 2566 ตั้งเป้ามี 80 สาขาทั่วไทย สอดรับเป้าหมายของ CRC ที่คาดว่าจะสร้างรายได้รวมเติบโตกว่า 15% รับการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ จากดีมานด์การก่อสร้างที่อยู่อาศัยซึ่งคาดว่าจะส่งสัญญาณบวกให้กับธุรกิจ นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล เปิดเผยว่า ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ตั้งเป้าสู่การเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านที่พร้อมส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพแบบครบวงจรรวมถึงร่วมเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ที่พร้อมสร้างการเติบโตให้กับทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อมุ่งสู่ The Next Sustainable Growth นำธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยไทวัสดุ ถือเป็นกลุ่มธรุกิจที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีส่วนแบ่งการตลาด (Market share) ในกลุ่ม Home & Garden specialist retailer เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 4.3% ในปี 2555 เป็น 9.8% ในปี 2564 อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของ HSBC Research ซึ่งในปี 2566 นี้ ทางไทวัสดุเอง ตั้งเป้ายอดขาย เติบโตที่ 15% ในปี 2566 ไทวัสดุยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเติบโตตามเป้าหมาย เตรียมขยาย 10 สาขาใหม่ทั่วประเทศ ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง และเป็นพื้นที่ที่มีดีมานด์ด้านการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขยายของกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ในเครือ (ไทวัสดุ, บีเอ็นบีโฮม, เพาเวอร์บาย) ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับอานิสงส์มาจากปัจจัยที่จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านเติบโตมาจากแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย จะเติบโตกว่า 4% ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเติบโตทางเศษฐกิจ และอิทธิพลบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยในปีนี้จะเป็นการต่อยอดสาขาทั้งในรูปแบบมาตรฐาน (Red Format) และแบบไฮบริด ฟอร์แมท (Hybrid Format) โดยมีเป้าหมายที่จะขยายฐานผู้บริโภค เจาะกลุ่มเมืองท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์สินค้าก่อสร้างและตกแต่งบ้านครบวงจร โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 นี้ได้เปิดสาขาไปแล้ว2 แห่ง ได้แก่ · ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขารังสิตคลอง 4 ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่าง ไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮมในรูปแบบไฮบริด พัฒนาขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคที่เลือกหาซื้อทั้งซื้อวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านครบจบในที่เดียว ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางรังสิตกว่า 20,000 ตร.ม และมีสินค้าที่ครบครันกว่า 30,000 รายการโดยการเปิดสาขารังสิต คลอง4 มีเป้าหมาย เพื่อรองรับ การขยายตัวอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ โซนเหนือมีบริการสำคัญ อาทิ โฮมเซอร์วิส การบริการ ออกแบบ ติดตั้ง ซ่อมแซม จากทีมวีฟิกซ์ ทีมช่างมืออาชีพ ที่ได้มาตรฐาน คุณภาพและบริการ · ไทวัสดุ สาขาโคราช หัวทะเล ในรูปแบบ Red Format นับเป็นสาขาที่ 67 ของประเทศ และสาขาที่ 3 ของจังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 17,000 ตร.ม. เพื่อรองรับตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดที่มีอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดในภาคอีสาน รวมทั้งการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง บนพื้นที่ประตูอีสานให้ทันกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในเดือนมีนาคมนี้ ไทวัสดุเดินหน้าเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ได้แก่ ไทวัสดุ สาขากำแพงเพชร และไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาภูเก็ต อ.ฉลอง ถือว่าไตรมาสแรกของปี ไทวัสดุ รุกเปิดไปแล้วถึง 4 สาขา ทุกภาคทั่วไทย ทั้ง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยในปี 2566 ไทวัสดุตั้งเป้ามีสาขารวม 80 สาขา ครอบคลุมทุกพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ซึ่งการที่ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมธุรกิจก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านที่ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ที่มีการปรับตัวธุรกิจให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในมิติหลากหลายยิ่งขึ้น และยังมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งให้พันธมิตรทางธุรกิจเติบโตไปด้วยกันซึ่งถือเป็นการเสริมทัพให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งพร้อมส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพแบบครบวงจร” นายสุทธิสาร กล่าวปิดท้าย
ไทวัสดุ ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านภายใต้บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล มีแผนขยายสาขาอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 ด้วยการเปิดสาขาใหม่ 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้มีสาขารวม 80 แห่ง โดยมุ่งเน้นการเข้าถึงทุกภูมิภาค ตั้งแต่ภาคเหนือไปจนถึงภาคใต้ เป้าหมายของการขยายนี้เกิดจากการคาดการณ์ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวดีขึ้น จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่กลับมามีชีวิตชีวา ซึ่งจะช่วยเพิ่มดีมานด์ในการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไทวัสดุไม่เพียงแต่จะขยายจำนวนสาขา แต่ยังพัฒนารูปแบบสาขาให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น โดยมีการเปิดสาขาในรูปแบบไฮบริดที่รวมวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ในที่เดียว นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังเน้นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรทางธุรกิจและการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ในการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน การเติบโตของไทวัสดุสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่สูงขึ้นในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ปรับตัวตามไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทำให้บริษัทมีโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_57032
Retail
สรุปบทความเรื่อง Apple Store กลับมาเปิดให้บริการในสหรัฐ 25 แห่ง ให้หน่อย
Apple ได้ประกาศว่าจะกลับมาเปิดให้บริการร้าน Apple Store ในสหรัฐฯ 25 แห่ง ภายในสัปดาห์นี้ แต่บริษัทได้กำหนดมาตรการด้านสุขภาพเอาไว้ โดยลูกค้าที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชม และใช้บริการภายในร้าน Apple Store จะต้องถูกตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน และต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ซึ่งหากลูกค้าไม่มีหน้ากาก ทาง Apple ก็จะแจกหน้ากากให้ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น พนักงานในร้าน จะคอยสังเกตอาการอื่นๆ ของลูกค้า ที่อาจเชื่อมโยงกับโรคโควิด-19 เช่น การไอ มีการจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะเข้าร้านในช่วงเวลาหนึ่ง และพนักงานจะคอยให้บริการลูกค้าแบบ “ตัวต่อตัว” ทั้งนี้ Apple กล่าวอีกว่า หากมีคำสั่งของรัฐให้กลับมาล็อกดาวน์ประเทศอีก Apple Store ก็จะปิดให้บริการอีกครั้ง ปัจจุบันมี Apple Store อยู่ 510 แห่งทั่วโลก โดยอยู่ในสหรัฐฯ 271 แห่ง และในวันพรุ่งนี้ Apple Store ในอิตาลีจะกลับมาเปิดให้บริการอีก 10 แห่ง อ้างอิง : https://www.cnbc.com/…/apples-retail-reopening-plan-tempera… https://www.reuters.com/…/apple-reopening-25-more-u-s-store…
Apple ประกาศกลับมาเปิดให้บริการร้าน Apple Store ในสหรัฐฯ 25 แห่ง แต่กำหนดมาตรการด้านสุขภาพ โดยลูกค้าที่ต้องการเข้าใช้บริการ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้า สวมหน้ากากอนามัย หากลูกค้าไม่มีหน้ากาก ทาง Apple จะแจกให้ มีการจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะเข้าร้านในช่วงเวลาหนึ่ง และพนักงานจะคอยให้บริการลูกค้าแบบ “ตัวต่อตัว” ปัจจุบันมี Apple Store อยู่ 510 แห่งทั่วโลกโดยอยู่ในสหรัฐฯ 271 แห่ง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_57034
Retail
ช่วยสรุปบทความ เซ็นทรัลพัฒนา ประกาศแผนธุรกิจ 5 ปี ปรับพอร์ตเน้นที่อยู่อาศัยและโรงแรม รวมกว่า 100 โครงการ
เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน นำทีมโดย CEO หญิงคนแรกของเซ็นทรัลพัฒนา คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยเซ็นทรัลพัฒนา มองตัวเองเป็น “นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต” ผู้บุกเบิกสร้างเมืองและความเจริญทั่วประเทศ พร้อมด้วยพันธกิจในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน ไปพร้อม ๆ กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา อีกทั้งยังชูแผนธุรกิจ 5 ปี (2022 - 2026) โดยทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ ที่เซ็นทรัลพัฒนาเดินหน้าสร้าง Better Futures ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1. SYNERGY for new solutions ผนึกกำลังทุกฝ่าย สร้างแพลตฟอร์มยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร 1.1 Synergy within Retail-Led Mixed-Use Development ผนึกกำลังเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในเครือเซ็นทรัลพัฒนา โดยใน 5 ปี บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาทำให้จำนวนโครงการทั้งหมดเพิ่มขึ้น ในสัดส่วนดังต่อไปนี้ - จากเดิมมีศูนย์การค้า 36 แห่ง จะพัฒนารวมเป็น 50 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ - คอมมูนิตีมอลล์รวม 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยาย) - จากเดิมโครงการที่พักอาศัยมี 23 แห่ง จะพัฒนารวมเป็น 68 แห่ง - จาเดิมอาคารสำนักงาน 10 แห่ง จะพัฒนารวมเป็น 13 แห่ง - จากเดิมโรงแรมเพียง 2 แห่ง จะพัฒนารวมเป็น 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมด จะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเร่งขยายการเติบโตของทุก ๆ ธุรกิจพร้อมกันไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะเชื่อมโยงยกระดับการใช้ชีวิตทุกรูปแบบทั้ง shop-work-stay-play-live ด้วยโครงการรีเทลที่เติมเต็มทุกฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่ ๆ, โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ในเครือเพื่อลูกบ้านเซ็นทรัล พร้อมเชื่อมต่อออฟฟิศให้เป็นสถานที่ที่ทำงานที่ดีที่สุด เพราะใกล้ศูนย์การค้าและโรงแรม รวมถึงปั้นโรงแรมแบรนด์น้องใหม่ เพื่อยกระดับทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้ตั้งทีม Business & Digital Transformation ลงทุน 450 ล้านบาท ในปี 2022 เพื่อทรานฟอร์มสู่การเป็น Omnichannel Platform ซึ่งมากกว่าการเชื่อมออฟไลน์และออนไลน์ แต่ยังเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน Ecosystem เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงธุรกิจที่อยู่กับเราไปยังลูกค้าด้วยเป็น B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในอนาคต 1.2 Synergy with business partners มุ่งมั่นสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของคู่ค้า พร้อมจัดตั้งทีม Partner Champions ที่จะเป็น Business Consultant ในการเป็น End-to-End Solutions ให้กับคู่ค้าอย่างครบวงจร ได้แก่ การช่วยเหลือการเติบโตและขยายสาขาด้วยโมเดล Co-investment, Funding และ Franchise, การช่วยเหลือด้าน Business Operation ต่าง ๆ, การใช้ Big Data จาก The 1 และ The 1 Biz และ Retail Omnichannel เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจของคู่ค้า รวมไปถึงการจัดการ Transaction และบริการต่าง ๆ ที่จะช่วยพันธมิตรทุกราย 1.3 Synergy with communities ทุกโครงการของเซ็นทรัลพัฒนามีส่วนสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน ทั้งได้ด้าน Art & Culture รวมไปถึง Local Wealth การสร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มยกระดับ SMEs และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแบบ Cross-Region ให้ผู้ประกอบการ, เกษตรกร และอาชีพต่าง ๆ ได้เข้าถึงพื้นที่การขายและลูกค้า โดยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี 2. PIONEER for better lives สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต โดยอนาคตภายในทุกโครงการใหม่ของเซ็นทรัลพัฒนา จะมีการบริหารจัดการที่ใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้าน เพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้แก่ - Green & Energy ด้วย Green Building Standard มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล, ติดตั้งเซลล์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในทุกโครงการ, พัฒนาอาคารอัจฉริยะหรือ Building Automation, การเพิ่มจุด EV Charging และ Recycle Station สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน - Health & Wellness พื้นที่ที่มีส่วนช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน ด้วยการตอกย้ำแผนแม่บทและมาตรการด้านความสะอาดและความปลอดภัย, การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้ง indoor-outdoor, การออกแบบที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม (Inclusive Design) ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนมาใช้ได้จริง รวมถึงพื้นที่เพื่อชุมชน เช่น ลานออกกำลังกาย, สนามเด็กเล่น, ศูนย์การเรียนรู้, ศูนย์ฉีดวัคซีน, พื้นที่รับบริจาคโลหิต และพื้นที่เพื่อ well-being สำหรับชุมชน 3. OPPORTUNITIES with Purpose ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคน เป็นองค์กรแห่งการสร้าง “โอกาส” พัฒนาคน พัฒนาเมือง พัฒนาประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย เทียบเท่าระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน - ให้คนได้มาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จับคู่ทางธุรกิจ และขยายไปทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ Central Pattana Lead และ Retail Academy - สร้าง Local Wealth ให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ขยายความเจริญจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัด - ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ผ่านโปรแกรมให้ได้ทดลองไอเดียใหม่ ๆ เช่น Retail Hackathon ซึ่งนำไปต่อยอดจริง - ให้โอกาสอย่างทั่วถึงกับกลุ่มคนที่หลากหลาย LGBTQ+ ข้อจำกัดทางร่างกาย บุคคลพิเศษ และมีความเป็น Global Citizen ให้ความสำคัญกับ Global Values เช่น Human Rights, Equality และ Diversity จากกลยุทธ์ทั้งหมดนำไปสู่การสร้าง Big impact ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของทุกเจเนอเรชัน โดยคุณวัลยา ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เรามุ่งมั่นที่จะทำตาม Brand Commitment ที่สำคัญคือการเดินหน้าสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อคนไทย ยืนหยัด สร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกมิติ สร้างสรรค์สิ่งที่ที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ - ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนามีส่วนช่วยสร้างเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเทียบเท่าประมาณ 1% ของ GDP ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และใน 5 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตเช่นนี้ และทำให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 150,000 ตำแหน่ง ที่อยู่ใน Sustainable Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา - ตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ให้ได้ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy ให้ได้อีก 50% นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย จากการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซ็นทรัลพัฒนา เป็นบริษัทอสังหาฯ หนึ่งเดียวในไทย ที่เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 อีกด้วย
CPN เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมฉลองครบรอบ 40 ปี ด้วยวิสัยทัศน์ "Imagining better futures for all" ภายใต้ ผู้นำคนแรกคือ คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กำหนดยกระดับคุณภาพชีวิตและธุรกิจ ด้วยแผนธุรกิจ 5 ปี (2022-2026) ที่รวม 120,000 ล้านบาท โดยเน้นที่สร้าง "Better Futures" ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก 1. บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มุ่งหวังในการบูรณาการและสร้างโครงสร้างการใช้ชีวิตและธุรกิจที่ครอบคลุมทุกรายละเอียดผ่านกลยุทธ์ 1.1SYNERGY โดยเน้นการพัฒนา Retail-Led Mixed-Use Development ในระยะ 5 ปี โดนจะพัฒนาโครงการสัดส่วนดังนี้ เช่น ศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นจาก 36 เป็น 50 แห่ง คอมมูนิตีมอลล์รวม16 แห่ง โครงการที่พักอาศัยเพิ่มขึ้นจาก 23 เป็น 68 แห่ง สำนักงานเพิ่มขึ้นจาก 10 เป็น 13 แห่ง โรงแรมเพิ่มขึ้นจาก 2 เป็น 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดเน้นการรวมธุรกิจในรูปแบบมิกซ์ยูส ทั้งนี้ยังมีการทุกรูปแบบในโครงการรีเทลที่เติมเต็มทุกฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่ ๆ, โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และมีทีม Business & Digital Transformation ที่ลงทุน 450 ล้านบาท ปี 2022 เพื่อทำให้เป็น Omnichannel Platform และเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน Ecosystem ในแนว B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในอนาคต 1.2 Synergy with business partners สร้างความเติบโตให้กับธุรกิจคู่ค้าผ่านทีม Partner Champions และโมเดล Co-investment, Funding, ช่วยเหลือด้าน Business Operation ต่าง ๆ การใช้ Big Data จาก The 1 และ The 1 Biz และ Retail Omnichannel เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจของคู่ค้า 1.3 Synergy with communities สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน ทั้งได้ด้าน Art & Culture รวมไปถึง Local Wealth กระจายรายได้ให้กับชุมชน ยกระดับ SMEs และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแบบ Cross-Region ให้ผู้ประกอบการ, เกษตรกร และอาชีพต่าง ๆ โดยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี 2.PIONEER for better lives เซ็นทรัลพัฒนามุ่งสร้างมาตรฐานใหม่ในพื้นที่ใช้ชีวิตที่ดี โปรเจคใหม่จะรวมการบริหารจัดการด้าน Green & Energy ด้วยมาตรฐาน Green Building, การใช้พลังงานสะอาด และการสนับสนุนความปลอดภัย รวมถึง Health & Wellness ด้วย 3.PPORTUNITIES with Purpose เปิดโอกาสสำหรับทุกคนในการพัฒนาตัวเองและชุมชนผ่านโครงการ Central Pattana Lead, Retail Academy และโอกาสในการทำงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ทำให้เกิด Local Wealth สร้างงานในพื้นที่ และเน้นคุณภาพชีวิตในจังหวัด และเปิดโอกาสแก่กลุ่มคนหลากหลายเช่น LGBTQ+, บุคคลพิเศษ และ Global Citizen ที่ให้ความสำคัญ Human Rights, Equality และ Diversity จากกลยุทธ์ทั้งหมดนำไปสู่ Big impact ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้าง Sustainable Ecosystem เพื่อคนไทยและประเทศไทย มีเป้าหมายชัดเจน เช่น ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ, สร้างงานใน Sustainable Ecosystem ที่มีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 150,000 ตำแหน่ง และเป็น Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยการลดการใช้พลังงาน 50%, ลดการใช้ CFC, ส่งเสริม Clean Energy, และปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและนอกโครงการ ถือเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่รับรางวัล DJSI World 4 ปีติดต่อและ DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_57035
Retail
สรุปเกี่ยวกับ True Digital Park เพื่อสตาร์ทอัพยุค 2022
True Digital Park เข้าใจความต้องการและวิถีการทำงานของสตาร์ทอัพ ในโซนออฟฟิศ จึงถูกออกแบบให้เป็นออฟฟิศเกรด A ทั้งหมด โดยสามารถขอเช่าพื้นที่และเข้ามาทำงานได้ทันที เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกสรรมาด้วยความใส่ใจ เช่น เก้าอี้ทำงาน ที่ออกแบบมาตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม เอาใจคนชอบนั่งทำงานยาว ๆ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ปราศจากความเมื่อยล้า เพิ่มความใส่ใจและสร้างความสุขในการทำงาน ที่จะส่งผลไปถึงการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ของพนักงานอีกด้วย หรือในระหว่างทำงาน ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการติดต่อลูกค้า ประสานงาน หรือต้องการใช้สมาธิในการโฟกัสกับงาน ก็มีโซน Phone Booth ห้องเก็บเสียง ไว้รองรับความต้องการด้วยเช่นกัน นอกจากออฟฟิศที่เป็นเกรด A แล้ว ขนาดและไซส์ก็มีให้เลือกตามความเหมาะสมของจำนวนพนักงาน ตั้งแต่ตัวคนเดียว ไปจนถึง 2,000 คน เรียกได้ว่าตอบโจทย์ครบทุกขนาดของบริษัท ทั้งผู้ประกอบการหน้าใหม่ บริษัทเทคฯ สตาร์ทอัพ บริษัทขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่กำลังขยายทีม รูปแบบพื้นที่ทำงานที่หลากหลาย นั่งทั้งวันก็ไม่เบื่อ สิ่งต่อมาที่ควรใส่ใจ คือบรรยากาศและสภาพแวดล้อม ที่เอื้อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากเรานั่งทำงานในห้องสี่เหลี่ยมที่อุดอู้ กับนั่งทำงานในพื้นที่ที่มองไปทางไหนก็เจอแต่พื้นที่โล่งโปร่งสบาย จะเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานก็ทำได้ หรือจะเดินพักผ่อนหย่อนใจในเวลาที่คิดไอเดียไม่ออกก็ดี และยังมีโอกาสพบปะคนที่อยู่นอกบริษัท ได้แลกเปลี่ยนความคิดจากผู้มีประสบการณ์จริงในธุรกิจนั้น ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นทางเลือก ที่คนทำงานยุคใหม่กำลังมองหา จะเห็นได้ว่าที่กล่าวมา คนทำงานยุคใหม่ให้ความสำคัญกับอิสระและการเปิดกว้างทางความคิด ดังนั้นพื้นที่ทำงานจะต้อง “เป็นมากกว่าพื้นที่ทำงาน” ซึ่ง True Digital Park ออกแบบพื้นที่การทำงานไว้ได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับทุกความต้องการ นั่นก็คือ โซน Co-working Space พื้นที่เปิดกว้างทางความคิด ด้วยการออกแบบรูปแบบพื้นที่นั่งทำงานที่หลากหลาย เพิ่มสีสันและประโยคสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงต้นไม้สีเขียวผ่อนคลายสายตา มีบริการน้ำ Infused Water, ชา และกาแฟ ฟรีตลอดการใช้งาน ซึ่งผู้เช่าพื้นที่ออฟฟิศก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งทำงานที่นี่ได้ ถ้าเป็นฟรีแลนซ์ก็สามารถเลือกสมัครแบบแพ็กเกจรายวัน, รายเดือน หรือรายปีก็ได้ แถมยังการันตีด้วย รางวัล Best Co-working Space 2020 จากเวที ASEAN Startup Awards พื้นที่ส่วนกลางครบ ติดปีกให้บริษัทพุ่งทะยาน และสิ่งที่จะเข้ามาเสริมให้ชีวิตการทำงานสมบูรณ์แบบและครบองค์ประกอบมากยิ่งขึ้น ก็คือ โซนพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งผู้เช่าออฟฟิศสามารถใช้งานได้ฟรี เช่น ห้องประชุมหลายขนาด ทั้งไซส์ S, M, L ไปจนถึงห้อง Boardroom ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่สำหรับผู้บริหารและพาร์ตเนอร์ระดับโลกที่มาพร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สายเชื่อมต่อ Adapter, โปรเจกเตอร์ และอินเทอร์เน็ต จะประชุมงานหรือคุยงานกับลูกค้าก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าสไลด์จะไม่ขึ้นจอ หรือมีปัญหาทางเทคนิคระหว่างการนำเสนอผลงานหรือไม่ เมื่อสถานที่พร้อม อุปกรณ์พร้อม ในระหว่างการซ้อมพรีเซนต์ เพื่อนำเสนอไอเดียธุรกิจ ก็จะลื่นไหล ไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถืออย่างหนึ่งให้กับบริษัท เมื่อต้องพบปะลูกค้า พาร์ทเนอร์ และนักลงทุน ในขณะที่โซนพื้นที่สำหรับพักให้สมองผ่อนคลายก็มีเช่นกัน จะเล่นปิงปองหรือตีพูล ก็เลือกได้ตามใจชอบ เพราะในระหว่างทำงาน เรื่องงานเราก็ต้องจริงจัง ส่วนเรื่องเล่นก็ต้องเต็มที่ไม่แพ้กัน เพื่อสร้างสมดุลให้การทำงานไม่เครียดจนเกินไป มีมุมสนุก ๆ บ้าง เพื่อสร้างสรรค์และกระตุ้นให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ไม่รู้จบ นี่จึงเป็นไอเดียที่ทำให้มีพื้นที่สำหรับระดมสมองแบบสบาย ๆ แทรกอยู่ในโซนออฟฟิศ โดยลักษณะของพื้นที่จะออกแบบเป็นโซนโซฟา ผสมผสานกับเบาะบีนแบ็กสำหรับนั่งเล่น เพื่อให้รู้สึกว่าการทำงานไม่จำเป็นที่จะต้องจริงจังเสมอไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพื้นที่ที่เป็นเหมือนครัวขนาดย่อม ที่คนทำงานอย่างเราต้องถูกใจ เพราะมีบริการชา กาแฟ Infused Water ฟรีทั้งวัน รวมถึงมีตู้เย็น และพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหารได้ โดยโซนนี้จะเรียกว่า โซน Pantry หรือถ้าบริษัทเรามีของ อยากโชว์ศักยภาพ ก็สามารถจัดกิจกรรมภายในบริษัทได้ ในโซนจัดอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็น Workshop สำหรับพัฒนาสินค้าใหม่ หรือจะจัดแบบยิ่งใหญ่อลังการ อย่างการจัดประชุมทีมแบบ Townhall เพื่อเล่าทิศทางและการทำงานของบริษัท, จัดงานแถลงข่าวในห้อง Auditorium เพื่อเปิดตัวพาร์ตเนอร์ใหม่ รวมถึงเชิญสื่อต่าง ๆ มาทำข่าว ก็สามารถเลือกพื้นที่อีเวนต์ที่อยู่ใน True Digital Park จัดงานได้เลย ไม่ต้องหาพื้นที่เช่าใหม่ให้เสียเวลา ที่สำคัญคือมีเรตราคาพิเศษ สำหรับผู้เช่าออฟฟิศอีกด้วย ไม่ใช่แค่ออฟฟิศ แต่เป็นคอมมิวนิตีสำหรับสตาร์ทอัพ จากการที่มีคนจากหลากหลายวงการเข้ามาใช้พื้นที่นี้ร่วมกัน ในจุดนี้เองเป็นจุดแข็งที่ทำให้ True Digital Park ไม่เหมือนออฟฟิศทั่ว ๆ ไป เพราะเป็นคอมมิวนิตีแหล่งรวมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ บริษัทเทคฯ และสตาร์ทอัพทั้งในประเทศไทยและประเทศกลุ่มอาเซียน รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้สตาร์ทอัพเติบโตอีกด้วย จะเห็นว่าพื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางเครือข่ายที่รวบรวมทั้งองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จึงเปรียบเหมือนแหล่งบ่มเพาะทางความคิด ที่พร้อมให้คนคุณภาพมาแบ่งปันและต่อยอดไอเดียซึ่งกันและกัน เพื่อพัฒนาและผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตไปในเวทีโลกได้ หลายความสำเร็จของสตาร์ทอัพ เริ่มต้นที่นี่ เนื่องจากเป็นศูนย์รวมโปรแกรมส่งเสริมองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมสำหรับบริษัทเทคฯ และสตาร์ทอัพ, อีเวนต์ต่าง ๆ ที่นำผู้ลงทุนและผู้ต้องการหาแหล่งเงินทุนให้มาพบปะกัน และกิจกรรมบ่มเพาะศักยภาพของผู้ประกอบการหน้าใหม่ ทั้งการประชันไอเดียธุรกิจ (Pitching), Hackathon, งานอัปเดตเทรนด์ (Tech Forum), ศูนย์ให้คำปรึกษา One Stop Service for Startups และโอกาสที่จะได้พบปะนักลงทุน (VC) ที่พร้อมให้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว จนทำให้ True Digital Park ก็ยังคงสร้างโปรแกรมและกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง จนได้รับรางวัล Best Community Builder สำหรับสตาร์ทอัพ ถึง 2 ปีซ้อน จากเวที Origin Innovation Awards ทั้งปี 2020 และปี 2021 เรียกได้ว่าพื้นที่นี้เป็นแหล่งรวมของคนมีฝัน คนมีของ และคนที่พร้อมจะสนับสนุนให้มาเจอกัน เพื่อต่อยอดวงการเทคฯ และสตาร์ทอัพไทย ให้เติบโตและทัดเทียมนานาประเทศได้ Close Ad Close Ad ทั้งหมดนี้คือการออกแบบพื้นที่ทำงานที่ใช่ของ True Digital Park แล้วในมุมการใช้ชีวิตล่ะ เป็นอย่างไร ? ใช้ชีวิตกับทำงาน 2 เรื่องที่ดูต่าง แต่ไปด้วยกันได้ เพราะ Work-Life Harmony เป็นการออกแบบชีวิตการทำงานให้ผสมผสานกับการใช้ชีวิตประจำวันอย่างลงตัว จนเราไม่รู้สึกว่ากำลังทำงานอยู่ และในขณะเดียวกันก็สามารถแบ่งเวลาไปเติมเต็มชีวิตส่วนอื่น ๆ ได้ ทั้งเรื่องสุขภาพกาย การดูแลจิตใจ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์กับคนรักและครอบครัวก็สามารถทำควบคู่ไปกับการทำงานได้ หากจัดสรรอย่างเหมาะสม True Digital Park ใส่ใจกับวิธีคิดนี้ จึงออกแบบพื้นที่โซน Retail เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต Retail and Lifestyle Area พื้นที่สำหรับช็อปปิงและพักผ่อนระหว่างวัน ให้ไปช็อปปิง ทำธุรกรรมทางการเงิน หรือจะนัดคนรักหรือครอบครัวมาทานอาหารหลังเลิกงานก็ทำได้ ถ้าเป็นสายเฮลตี้ หากเคลียร์งานเสร็จแล้ว ก็แบ่งเวลาไปออกกำลังกายที่ Virgin Active 101 ได้ อีกทั้งวัฒนธรรมการทำงานได้เปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน เวลาการทำงานของสตาร์ทอัพจึงค่อนข้างยืดหยุ่น หากทำงานเสร็จก็สามารถแบ่งเวลามาออกกำลังกาย จะเช้า สาย บ่าย เย็น ก็ออกแบบชีวิตตัวเองได้ เป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะส่งผลดีกับคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยโซน Workout ก็จะมีทั้งฟิตเนส Virgin Active 101 และเลนสำหรับปั่นจักรยานภายในอาคาร รวมถึงมีพื้นที่สีเขียวด้านนอกอาคาร ต้นไม้ที่ร่มรื่นที่สามารถออกมาสูดโอโซนเข้าปอดชาร์จพลังได้อย่างเต็มที่
True Digital Park เข้าใจความต้องการและวิถีการทำงานของสตาร์ทอัพ ในโซนออฟฟิศ จึงถูกออกแบบให้เป็นออฟฟิศเกรด A ทั้งหมด โดยสามารถขอเช่าพื้นที่และเข้ามาทำงานได้ทันที เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเตรียมไว้พร้อม ทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกสรรมาด้วยความใส่ใจ อีกทั้งยังมีโซน Phone Booth ห้องเก็บเสียงไว้รองรับ ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว อีกทั้งมีขนาดและไซส์ให้่เลือกตามจำนวนพนักงาน รวมถึงบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ที่ช่วยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และมีพื้นที่ส่วนกลางครบครัน มีโซนพักผ่อน และครัวขนาดย่อม ที่มีบริการชา กาแฟ ฟรีทั้งวัน พร้อมทั้งพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหาร หรือถ้าต้องการจัดกิจกรรม อีเวนต์ก็มีพื้นทีให้บริการ ในจุดนี้เองเป็นจุดแข็งที่ทำให้ True Digital Park ไม่เหมือนออฟฟิศทั่ว ๆ ไป เพราะเป็นคอมมิวนิตีแหล่งรวมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ บริษัทเทคฯ และสตาร์ทอัพทั้งในประเทศไทยและประเทศกลุ่มอาเซียน รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้สตาร์ทอัพเติบโตอีกด้วย และเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต จึงมีการเพิ่ม Retail and Lifestyle Area พื้นที่สำหรับช็อปปิงและพักผ่อนระหว่างวันให้ไปช็อปปิง ทำธุรกรรมทางการเงิน หรือจะนัดคนรักหรือครอบครัวมาทานอาหารหลังเลิกงานก็ทำได้ ถ้าเป็นสายเฮลตี้ หากเคลียร์งานเสร็จแล้ว ก็แบ่งเวลาไปออกกำลังกายกได้หมด รวมถึงมีพื้นที่สีเขียวที่สามารถออกมาสูดโอโซนเข้าปอดชาร์จพลังได้อย่างเต็มที่
null
Summarization
cc-by-nc-4.0